วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ประโยชน์ของคลอเลสเตอร์รอล

ประโยชน์ของคลอเลสเตอร์รอล

1.ในการ เป็นวัตถุดิบในการสร้าง กลุ่ม กลูโคติคอยด์ ซึ่งช่วยเผาผลาญ คาร์บ เป็นพลังงาน โดยเฉพาะกลุ่ม คอร์ติซอล Cortisol กดภูมิคุ้มกันต้่านการอักเสบ ต้านความเครียด ถ้าไม่มีคลอเลสเตอร์รอลก็จะไม่มีสิ่งเหล่านี้ด้วย
2.กลุ่ม มิโนรัลคอติคอยด์ Minoralcorticoids เช่น อะโดสเตอร์โรน Adostorone เกี่ยวกับระบบน้ำและอิเลคโตรไลน์ ผ่านการควบคุมโซเดี่ยม และโพแทสเซี่ยม

3.กลุ่มแอนโดรเจน Androgen เช่น DHEA และเทสโทสเทอร์โลน ที่เป็นฮอโมนเพศชาย ช่วยรักษาความหน่แน่นของกระดูก และตับDHEA สัมพันธ์กับความหน่แน่นของกระดูก และความทรงจำในยามชรา ซึ่งมีผลต่อสมองด้วย

4.กลุ่มโปรเจสตาเจน Progestagens เช่นโปรเจสเตอร์โรน Progesterone มีความสำคัญต่อการมีประจำเดือน และฮอโมนตั้งครรภ์ในผู้หญิง

5.กลุ่มแอนโดรเจน entrogen เป็นฮอร์โมนที่พัฒนาเกี่ยวเพศ กระดูกและคุณภาพของสมอง

6.เป็นวิตามินดี ทำหน้าที่เหมือนสเตียร์รอยด์ ฮอโมน สนับสนุนภูมิต้านทาน กำกับปริมารแตลเซี่ยมในกระแสเลือด

สมองเราเองก็มีส่วนประกอบสำคัญมาจาก คลอเลสเตอร์รอล เยื่อหุ้มเซลล์ ฉนวนหุ้มปลายประสาทก็สังเคราะห์จากคลอเลสเตอร์รอลผ่านตับ ถ้าตับสังเคราะได้ดีจะสังเคราะห์คลอเลสเตอร์รอลด้วย  ซึ่ง hdl จะไปกวาดเอา ldl คลอเลสเตอร์รอลมาที่ตัวเพื่อสังเคราะห์เป็น ฮอโมนทั้งหลาย ฉนวนหุ่มปลายประสาท เยื่อหุ้มเซลล์





หากใช้ยาลดคลอเลสเตอร์รอล จะทำให้
1.เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ เข้าสู่วัยทองก่อนวัยอันควร แก่เร็ว
2.ความสามารถในการต้านความเครียดต่ำลง เพราะฮอโมนเกี่ยวกับความเครียดบางตัวสังเคราะห์มาจาก คลอเลสเตอร์รอล
3.ตับทำงานผิดปกติ มีไขมันฟอกตับมากขึ้น ตับแข็ง ตับอักเสบ เพราะร่างกายจะย้าย คลอเลสเตอร์รอล จากหลอดเลือด ไปพอกที่ตับทำให้เป็นตับแข็งตับอักเสบ
4.เกิดการอักเสบที่ผิวหนังได้ง่ายขึ้น เพราะการต้านการอักเสบ เพราะคลอเลสเตอร์รอล เป็นฮอโมนที่จะถูกสังเคราะต่อเป็นฮอโมนต้านการอักเสบของผิวหนัง
5.ลดLDLไม่ได้ลดตรัยกลีเซอร์รัย ทำให้เสี่ยงความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ
6.เป็นเบาหวานได้ง่ายเพราะสภาพตับและตับอ่อนแย่ลง




องค์การ FAO (FOOD AND AGRICULTURE ORGANIZATION OF THE UNITED NATIONS) ปี1992
จากข้อมูล ทางระบาดวิทยา โดยทั่วไปแล้ว สอดคล้อง กับการทดลองในสัตว์ทดลองที่ระบุว่าการบริโภคไขมันต่ำเพิ่มการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง 
 
Dr. สาทิส อินทรกำแหง ผู้ก่อตั้ง ชีวจิต ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง ของผู้ที่ กินไขมันแต่น้อย แต่กลับพบว่า เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ อีกคนหนึ่ง ซึ่งบัดนี้ท่านได้สิ้นไปแล้ว แต่ก็ขอหยิบยกมาเป็นตัวอย่าง ท่านหนึ่งนะครับ
งานวิจัยพบว่า ไขมันอุดตันในเส้นเลือด (ไขมันไม่อิ่มตัว)
พศ.2537 และงานวิจัย 2542 พบว่าสาร Athermoas ซึ่งเป็นสารเริ่มต้นของสารอุดตัน (plaque)ในหลอดเลือด เป็นพวกไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง จากการวิเคราะห์ แผ่นไขมัน ที่เกาะที่เส้นเลือดพบว่าใน อนุพันธ์คลอเลสเตอร์รอล 74% เป็นไขมันไม่อิ่มตัว(ส่วนใหญ่มาจาก ถั่วเหลือง ข้าวโพด ดอกทานตะวัน ดอกคำฝอย อื่นๆ ) เป็นไขมันอิ่มตัวเพียง 26% และกรดไขมันอิ่มตัวเหล่านี้ก็ไม่ใช่กรดลอริก หรือ กรดไมริสติก จากน้ำมันมะพร้าวเลย 

น้ำมันพืช อย่างน้ำมัน ถั่วเหลืองที่เรา ทานกันในทุกวันนี้ จึงเป็นปัญหา ของการอักเสบหลอดเลือดเกิดจากการกินแป้งน้ำตาลมาก ก็จะมาพอกมาก ถ้าเรากินน้ำมันไม่อิ่มตัวมากด้วยเลยกลายเป็น อ็อกซิไดร์ LDL พร้อมกลายสภาพและพร้อมรับการที่จะให้อนุมูลอิสระเข้าโจมตี พอโจมตีเกิดหลอดเลือดแตกฉีกขาด กระจายไปยังหลอดเลือดหัวใจและสมองได้ จึงต้องงดน้ำตาลแป้ง ไม่ควรโทษไขมันไม่อิ่มตัวเพียงอย่างเดียว ต้องโทษ การกินแป้งและน้ำตาล ที่เป็นต้นเหตุ
การลด LDL โดยการไม่ไปทาน แป้ง น้ำตาล มาก หรืองด แป้งน้ำตาล จึงเป็นส่วนช่วยลดความเสี่ยงได้มาก

สำหรับบทความบทนี้ เป็นบท ความที่ เป็นภาค ประกอบ ของบทความก่อนๆ ที่ผมอยากพูด ถึงประโยชน์ และ ข้อมูล การวิจัย ที่ยืนยันได้ ของ FAO ที่เป็นองค์กร ระดับโลก บางคนอาจจะเคยเห็นสัญลักษณ์ นี้มาบาง เพื่อยืนยันใน การวิจัย ว่ามีที่มาที่ไป ไม่ใช่งานวิจัย ลวงโลก หรือไม่ได้รับการยืนยัน เลยอยากนำเสนอข้อมูล ให้ ครบถ้วน เพื่อว่า คนที่กำลัง ควบคุมน้ำหนัก จะได้ ทราบ ข้อมูลเหล่านี้ และ มีสุขภาพ ที่ดี ไม่เป็นโรค หลอดเลือด หรืออันตรายจากความเข้าใจ เดิมๆอีกต่อไปนะครับ 

ขอบพระคุณครับ

Fitness Model: Erin Stern