วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ยาลดความอ้วน 2

บทที่ 16 ยาลดความอ้วน 2 


ก่อนที่จะทำการ ลดน้ำหนักโดยการใช้ยา นั้น ควรที่จะทำการ ควบคุมอาหาร ออกกำลังกายและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสียก่อน แต่หากว่า ภายใน 3เดือน ไม่สามารถลดน้ำหนักได้10%ของน้ำหนักเดิม
หรือมีค่าดัชนีมวลกาย BMi มากกว่าหรือเท่ากับ 30 กิโลกรัมต่อ ตารางเมตร รวมทั้งผู้ที่มีดัชนีมวลกาย มากกว่าหรือเท่ากับ 27 กิโลกรัมต่อ ตารางเมตรที่มีปัจจัยเสี่ยงเช่น เบาหวานความดันโลหิตสูง หรือ ไขมันในเลือดสูงผิดปกติ โดยต้องมีการซักประวัติตรวจร่างกาย ก่อนใช้ยาเสมอ


ยาที่ใช้ลดความอ้วนในปัจจุบันแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท คือ

1.การออกฤทธิ์ใน ระบบทางเดินอาหาร ได้แก่



1.1สารที่พองตัวได้โดย ส่วนมีลักษณะเป็นอาหารเพื่อการควบคุมน้ำหนักที่ให้เส้นใยเช่นพวก สารสกัดจากหัวบุก ซึ่งไม่ให้พลังงาน และ สามารถพองตัว เพื่อให้เรา อิ่มอยู่ท้องได้นาน จัดเป็นอาหารที่เป็นตัวช่วยในการควบคุมน้ำหนัก เพราะไม่มีอันตรายโดยตรงเหมือนอาหารเสริมเพื่อลดน้ำหนักอื่นๆ เช่นพวก ยาระบาย ยาขับปัสสาวะแต่ผู้ใช้ก็ต้องระวังการใช้ด้วยเนื่องจาก พบว่า การใช้ อาหารจำพวกนี้ จะทำให้ลำไส้อุดตันได้ รวมทั้ง ถ้าหากว่าทานน้ำน้อย ก็อาจจะทำให้ อุจจาระแข็งได้เนื่องจาก อาหารที่ใช้ในการควบคุมน้ำหนักในลักษณะนี้ จะมีกลไก การพองตัวจากน้ำ ดังนั้น ถ้าหากเราทานน้ำน้อยก็มีโอกาสที่ จะทำให้ อุจจาระแข็งตัว ทำให้ถ่ายยาก และอาจจะแข็งจนต้องผ่าตัดเพื่อนำเอาอุจจาระที่แข็งตัวออกมา




1.2  ยาที่ช่วยยับยั่งการดูดซึมอาหาร พวกไขมัน Digestion inhibitorsเช่น orlistat เป็นยาลดความอ้วนที่มีกลไกการออกฤทธิ์ โดยทำการยับยั้งเอนไซม์ ในกระเพาะที่ทำหน้าที่ในการย่อยไขมัน ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมไขมันเข้าสู่ร่างกายได้  และขับถ่ายออกมา orlistat จะออกฤทธิ์กับ อาหารที่มีไขมันเท่านั้น  แต่จะได้ผลดี ก็ต้องใช้ควบคู่กับการควบคุมอาหารด้วย ขนาดยาที่ใช้ ในไทยเราจะมีเป็นชนิด แคปซูล ขนาด 120 มิลลิกรัม โดยปกติจะทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 3 เวลาพร้อม หรือหลังอาหาร ไม่เกิน 1 ชั่วโมง ไม่ควรใช้ต่อเนื่องเกิน 6 เดือน orlistat มีผลยับยั้งไขมันได้สูงสุด 30 %ของปริมาณ ไขมันในอาหารที่เรากินเข้าไป
orlistat เป็นยาที่มีผลต่อพฤติกรรมการทานของผู้ควบคุมน้ำหนักเนื่องจาก ทำให้มีความเชื่อว่า เมื่อไขมันในอาหารที่ทานเข้าไปถูกดักจับ แล้วขับถ่ายออกมาทำให้กินแล้วไม่อ้วนจนมีคำโฆษณา ชื่อยาชนิดนี้ว่า เป็นยา ดักไขมัน ซึ่ง ในความเป็นจริงแล้ว สาเหตุที่เราอ้วนเกิดมาจาก ไขมัน ก็จริง แต่เป็นไขมัน ที่เป็นพลังงานที่เหลือจาก การนำไปใช้จากการทาน คาร์บ อาหาร พวก ข้าว แป้ง น้ำตาล ที่ เหลือจากการนำไปใช้แล้ว เปลี่ยนสภาพเป็น ไตรกลีเซอร์รัย อยู่ในเนื้อเยื่อไขมัน

ผลเสียจากการใช้ยา orlistat

ถึงแม้ยาตัวนี้จะไม่มีผลถึง แก่ชีวิต แต่ก็มีผลเสียจาก กลไกการออกฤทธิ์ ของยาเอง ที่ทำให้ ไขมันไม่ถูกย่อย ทำให้เวลาถ่ายออกมามีไขมันปะปนออกมาด้วย และ ถ่ายอุจจาระบ่อยขึ้น ควบคุมการขับถ่ายได้ลำบาก ปวดท้อง มวนท้อง ไม่สบายท้อง ผายลมบ่อย ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะเกิด ผลดังกล่าวมาข้างต้น ความรุนแรงก็จะแตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคลผู้ใช้ยา orlistat มีความเสี่ยงที่จะขาดวิตามินที่ ละลายได้ในไขมันจึงมีความจำเป็นต้องทานวิตามินเสริมเข้าไปด้วย

ผลทางอ้อม สามารถลดระดับ total cholesterolและ LDL-cholestrolในเลือด และทำให้ภาวะGlucose tolerance ดีขึ้นในระยะเวลาสั้นๆและไม่มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง

อาการแพ้ต่อยา orlistat
มีความเสี่ยงต่อความผิดปกติของตับ ได้ ซึ่งหากมีความรุนแรง ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นเช่น เบื่ออาหาร ตัวเหลือง ตาเหลือง มีผื่นคันปัสสาวะมีสีเข้ม อุจจาระมีสีซีด ปวดท้องรุนแรง ในกรณีที่แพ้ยาตัวนี้ ยาตัวนี้เป็นยาที่มีข้างเคียงที่น้อย แต่ควรใช้ควบคู่กับการควบคุมอาหาร และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งต้องคอยสังเกตุอาการตัวเอง ด้วย เพราะคำว่ายา ไม่มีอะไรปลอดภัย 100%


2.ยาในกลุ่มที่ออกฤทธิ์ในระบบสมองส่วนกลาง โดยยาพวกนี้จะมีวัตถุประสงค์ในการควบคุมระดับ ของ serotonin และ  catecholamine ซึ่งสารทั้งสองตัวนี้ เป็นสารเคมี ที่มีผลในการควบคุม ความอิ่ม และ หิวของคนเราพูดง่ายๆคือ ไปควบคุมไม่ให้หิว ก็จะได้ไม่กิน ไม่กินก็ไม่อ้วน คิดกันยังงี้เลยทีเดียว
แต่ ยาที่ใช้ในกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่จะมีผลในทาง จิตประสาท หรือที่เรียกว่า เป็นยาจิตเวช  ซึ่งเคยมีรายงานในสมัยก่อนว่า ยาบางตัวมีผล ให้มีการฆ่าตัวตาย แต่ในภายหลังมีข้อมูลแก้ไข ว่าไม่จริง แต่มันก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการฆ่าตัวตายในกลุ่มของผู้ใช้ยา ชนิดนี้ เนื่องจาก อนุพันธ์ของยา เป็นลักษณะเดียวกันกับยาบ้า คือ แอมเฟตามีน  ยาในกลุ่มนี้จะสามารถแบ่งย่อยออกมาได้เป็น 3กลุ่มตามการออกฤทธิ์ของยา โดยแบ่งได้ดังนี้


2.1ยาที่ออกฤทธิ์ผ่าน Serotoninergic pathway ยาสองตัวในกลุ่มนี้ ได้แก่ Fenfluraine และ Dexfenfluramine ปัจจุบันพบว่ายาเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับ การเกิดภาวะ ผิดปกติของลิ้นหัวใจ  จึงมีการถอนตำรับที่มี สารทั้ง2ตัวออกจากการวางจำหน่ายในท้องตลาด ในปี พศ 2543 โดยประกาศของกระทรวงสาธารณสุข
ตัวอย่าง เช่น Dexfenfuramine, Fenfuramine
ปัจจุบันยาดังกล่าวบริษัทผู้ผลิตได้ถอนออกจากท้องตลาดแล้วตั้งแต่เดือนกันยายน 2540 เนื่องจากมีรายงานการเกิดลิ้นหัวใจรั่วและอาจจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะ pulmonary hypertension ถ้าใช้ยาในขนาดสูงนานเกินกว่า 3 เดือน ซึ่งกลไกเกิดจากระดับ serotonin ที่สูงขึ้น



2.2ยาที่ออกฤทธิ์ผ่าน Catecholamine pathways ยา Phentermine,Diethypropion,Amfepramone Mazindol ซึ่งอย่างที่บอกไปข้างต้นว่า Cathine เป็นสารเคมี ที่มีคุณสมบัติกระตุ้นประสาทส่นกลางซึ่งจะมีผล ทำให้ไม่หิว และอิ่มได้นาน และเร็ว ซึ่งการควบคุมระบบประสาทส่วนกลางก็จะมีผลข้างเคียง ของยาคือ ทำให้นอนไม่หลับ ปวดศรีษะ กระวนกระวายความดันโลหิต ที่จะสูงขึ้น หัวใจเต็นเร็ว ปากแห้ง เหงื่อออก คลื่นไส้ ท้องผูก ถ้าใช้นานๆจะเกิดภาวะติดยา กระทรวงสาธารณสุขจึงมีการจัดให้เป็น วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ประเภท 2 ซึ่งจะมีการจำหน่ายได้ก็ต่อเมื่อ มีคำสั่งแพทย์เท่านั้น และยังต้องควบคุมสถานที่ขายต้องมีใบอณุญาติ และทำรายงานการจำหน่ายด้วย

ตัวอย่างเช่น ยา phentermine มีโครงสร้างในกลุ่ม phennethylamine ซึ่งคล้าย แอมเฟตามีนamphetamineนำมาใช้ในการลดความอยากอาหาร phentermine หมวดวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไม่สามารถ ซื้อหาได้ตาม ร้านขายยาทั่วไป  แต่ต้องมาพบแพทย์ในสถานพยาบาลเท่านั้น เพื่อควบคุมผลของ ยา และ ปรับขนาดของยา

ยาเฟนเทอร์มีน เป็นยาที่ออกฤทธิ์ กระตุ้นประสาท ส่วนซีรีรัลคอร์เทกซ์cerebral cortex ทำให้รู้สึกอยากอาหารลดลง  และ ออกฤทธิ์ ภายนอกสมอง  โดยทำให้ร่างกาย หลั่งสารที่เพิ่มการใช้พลังงานของร่างกาย ที่เรียกว่า อิฟิเนฟริน epinephrine หรือ adrenaline จึงทำให้เกิดการเผาผลาญเซลล์ไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกาย ทำให้เกิดการลดน้ำหนักภายในเวลาสั้นๆขนาดการจำหน่าย  ยาเฟนเทอร์มีน จะจัดจำหน่ายเป็น แคปซูล 15 และ 30 มิลลิกรัม /แคปซูล ขนาดรับประทาน ผู้ใหญ่จะทาน 15-30มิลลิกรัมต่อวัน1-2ครั้ง รับประทานในเวลาที่ท้องว่างก่อนอาหารเช้าเด็ก ที่อายุต่ำกว่า18ปี การใช้ยาแล้วแต่ดุลพินิจแพทย์การสั่งจ่ายยา ลดน้ำหนักและยาในหมวดเฟนเทอร์มีน


ผลข้างเคียงของยา เฟนเทอร์มีน
ปากแห้ง กระวนกระวาย กระสับกระส่าย นอนไม่หลับ ปวดศรีษะ ตัวสั่น วิงเวียนศรีษะหากทานในประมาณสูง อาจเกิดผลข้างเคียง เช่น อ่อนเพลียท้องเสีย ท้องผูก ความดันโลหิตสูงซึมเศร้า มีไข้ เกิดความ ผิดปกติของการเต้นของหัวใจ เกิดจิต หรือ ประสาทหลอนเกิดอาการชัก สมรรถภาพทางเพศเสื่อม



Fluoxetine

เพิ่มระบบ ซีโรโทนิน  Fluoxetine เป็นยาต้านอาการซึมเศร้า กลุ่ม SSRI(seletive serotonin re-uptake inhibitor) ออกฤทธิ์ยับยั้งการนำserotonin ที่หลั่งออกมากลับเข้าไปในเซลล์ประสาทอีกครั้งทำให้ปริมาณSerotonin ในช่องว่างระหว่างเซลล์ประสาทมากขึ้น นานขึ้น ทำให้ ระดับ
serotonin สูงขึ้น

serotonin เป็นสารชีวเคมี ที่มีความสัมพันธ์กับอารมณ์ของบุคคลให้รู้สึกสงบเยือกเย็น ลดภาวะวิตกกังวล มีผลข้างเคียงอาจจะง่วงซึมได้ในบางคน

อาหารที่มีผลให้สมองหลั่งสาร serotonin ได้ คืออาหารที่อุดมไปด้วย คาร์บเช่น ข้าว แป้ง น้ำตาล การเกิดสารชีวเคมี serotonin เกิดขึ้นมาได้จากเมื่อร่างกายได้รับสารอาหารประเภท คาร์บเข้าไป จะนำไปสร้างกรด อะมิโนชนิดหนึ่ง เรียกว่าTryptophan ซึ่งร่างกาจจะนำไปสร้าง Serotonin นอกจากคาร์บแล้ว พวกผลไม้จำพวกกล้วยหอม ก็พบว่าอุดมไปด้วย Tryptopphan

Fluoxtine มี ผลข้างเคียงคือ ทำให้ไม่อยากอาหารแม้ทางวิชาการแล้ว ยาตัวสามารถนำมาใช้ในการลดความอ้วนได้ โดย กิน 20-60 มิลลิกรัม ต่อวัน แต่ก็ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

อาการข้างเคียงของยาที่พบ ได้แก่ คลื่นไส้ 12-29% ง่วงซึม5-17% นอนไม่หลับ10-33% ลดแรงกำหนัดทางเพศ 1-11% เบื่ออาหาร 4-11% ท้องเสีย 8-18%อ่อนเพลีย7-21% สั่น 3-13% นกเขาไม่ขัน  1-7% เหงื่อมาก2-8% หูอื้อ อาการเหมือนเป็นไข้หวัด ความผิดปกติในการมองเห็นผื่นคัน ท้องเสีย น้ำหนักลด2% ฝันผิดปกติ ฝันแปลกๆ ปวดเค้นหน้าอก และอื่นๆ เช่น มีความคิดอยากฆ่าตัวตาย มีพบได้น้อย แต่รุนแรง เช่น อาการแพ้ ผมร่วง ปวดเค้นหน้าอก หัวใจเต้นผิดปกติ หอบต้อกระจก หัวใจล้มเหลว ดีซ่านจากการยับยั้งการไหลของน้ำดี ไตวาย ตับพัง Stevens johnson syndrome 

us fda ระบุข้อบ่งใช้ขนาดยา ชนิดนี้ไว้ว่า ควรใช้ไม่เกิน20-60 มิลลิกรัม ต่อ วัน

การใช้ยา Fluoxetine มีผลต่อความคิดอยากฆ่าตัวตายได้ แม้ว่าจะมีรายงานการทดสอบ ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นงานวิจัยใหม่หักล้างว่า ไม่มีผลต่อการคิดฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นข้อหักล้างความเชื่อเดิมที่มีมาว่า Fluoxetine มีผลต่อการคิดฆ่าตัวตาย แต่ไม่ว่างานวิจัยจะออก มาอย่างไรก็ตาม ในการใช้ยา ควบคุมน้ำหนักที่มีผลต่อจิตประสาท ก็ยังคงต้องอยู่ในความควบคุมอย่างใกล้ชิดของแพทย์อยู่ดี ถึงแม้ว่ายาตัวนี้จะมีการใช้มากว่า 20 ปีแล้ว ก็ตาม

2.3ยาที่ออกฤทธิ์ผ่าน Noradrenergic และ Serotoninnergic,pathways ยา Sibutramine ไซบูทามีน ทำหน้าที่เพิ่มความรู้สึกอิ่มโดยการยับยั้งการเก็บกลับ ของ Serotonin ซีโรโทนิน และ Noradranaline


ตัวอย่างเช่น ยา sibutramine
เป็นยาลดความอ้วนที่เห็นผลในระยะเวลาไม่นาน เป็นยาที่มีข้อบ่งใช้สำหรับรักษา และ ควบคุมอาหาร obesity เป็น ยาควบคุมพิเศษห้ามสั่งจ่ายโดยไม่มีแพทย์  กลไกการทำงาน ยับยั้งการเก็บกลับReuptake ของสารสื่อประสาทserotonin และ นอร์อีพิเนฟริน norepinephrine ที่บริเวณสมองส่วน ไฮโปธาลามัส Hypothalamic area ลดความอยากอาหาร และ ทำให้อิ่มเร็วรวมทั้งกระตุ้นการเผาผลาญได้ด้วยขนาดยาที่เริ่มต้น  10 มิลลิกรัม ต่อวัน  หลังจาก 4 สัปดาห์ ก็จะมีการพิจารณาขนาดยาเพิ่มได้ แต่ต้องตรวจความดันโลหิต และ อัตราการเต้นของหัวใจก่อนปรับขนาดยา สูงสุดไม่ควรเกิน 15 มิลลิกรัมต่อวัน หากไม่สามารถทนต่อยาได้ ให้ลดเหลือ 5 มิลลิกรัมต่อวัน

การใช้ยา sibutramine ต้องมีบุคลากรทางการแพทย์คอยติดตามระดับความดันโลหิต และ อัตราการเต้นของหัวใจผู้ป่วยเสมอ และหยุดใช้ ยาเมื่อมีอาการผิดปกติ เกี่ยวกับความดันโลหิตและ อัตราการเต้นของหัวใจ นอกจากนี้หากลดน้ำหนักได้น้อยกว่า 5% จากน้ำหนักตัวเดิม ใน 3-6 เดือนห้หยุดใช้ยา เนื่องจากใช้ยาไม่ได้ผล

ผลข้างเคียงของยา ทำให้ปากแห้ง คอแห้ง ท้องผูก ปวดศรีษะ นอนไม่หลับ เบื่ออาหารยาตัวนี้มีปัญหาต่อระบบ หัวใจ หลอดเลือด  จนองกค์กรอาหารและยาสหรัฐออกมาเตือนยาตัวนี้ต่างจากตัวอื่นอย่างไร ในด้าน อาการไม่พึงประสงค์ไม่ค่อยต่างแต่ยาลดความอ้วน กลุ่มเดิมๆมักมีปัญหาโยโย่ มากกว่า รวมทั้งอาการใจสั่นนอนไม่หลับ แต่ปัญหานี้จะมีน้อยในยาตัวนี้แต่ ไปพบ ปัญหาเรื่องหัวใจ และ หลอดเลือดมากกว่าไซบูทรามีน ทำให้ความดันโลหิตสูง และหัวใจเต้นเร็ว

4.Hormonal manipulation เป็นยาใหม่ที่ใช้รักษาเพื่อลดน้ำหนัก ได้แก่ Leptinanalogue,Neruropeptide Y anatagonist,Cholecystokinin,Glucagon,Glucagon-like peptide-1
ยกตัวอย่างเช่น ยา Neuropeptide Y antagonist ทำหน้าที่ยับยั้ง  Neuropeptide Y (NPY)ที่ทำหน้าที่กระตุ้นให้ทานอาหารมากขึ้น ทำให้ความอยากอาหารลดลง

สำนักงาน อย ควบคุมการใช้ยาลดความอ้วน ที่จัดเป็นยาออกฤทธิ์ต่อจิต ประสาทโดยโควต้า คลินิกละ 2000 เม็ดต่อเดือน ต้องส่งรายงานการใช้ยา กับ อย ทุกเดือน



สรุป
หากได้อ่านบทความนี้ คงจะรู้ว่า ทำไม ยาพวกนี้จึงเป็นยาควบคุม ที่ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเท่านั้น เพราะความอันตราย และ รายละเอียดการใช้ ทั้ง อาการข้างเคียง การแพ้ยาที่อาจเกิดได้ ทำให้ ผู้ใช้ยาชุด ที่มีกลุ่มนี้อยู่ จึงเป็นอันตราย ถึงแก่ชีวิตได้ แต่ทั้งนี้ ยาเหล่านี้ก็ยังจัดเป็นยาที่ผลใช้ในการรักษา โรคอ้วนได้ ผลดี แม้จะมีอันตรายก็มีคุณประโยชน์ด้วยเช่นกัน ขอให้มีความรู้ และอยู่ในความดูแลของแพทย์เชื่อว่าจะมีประโยชน์มากกว่าโทษแน่นอนครับ






วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ยาลดน้ำหนัก 1 เรื่องของยาชุดลดน้ำหนัก ยาระบาย ได้ผลในการควบคุมน้ำหนักได้จริงหรือ?

บท15 ยาลดความอ้วน ยาระบาย และ ยาชุด 


ในภาพเป็น นักศึกษา เภสัช ที่สอบเข้าได้ กำลังจะเข้าเรียนต้องมาเสียชีวิตเสียก่อน
เนื่องจากกลัวใส่ชุดนักศึกษาไม่สวยเลย เลยหันมากินยาลดความอ้วน

สำหรับยาลดความอ้วน เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่หลายคนนำมาใช้ในการลดความอ้วน
จริงๆแล้วในเรื่องยาลดความอ้วนนั้น เป็นเรื่องปกติ ที่มีใช้กัน หากแต่ว่าอันตราย
จากการใช้ยาลดความอ้วนนั้นไม่ได้มาจาก ยา ที่ใช้เสียทีเดียวจะว่าจริงๆแล้ว ที่อันตราย
เสียยิ่งกว่า ก็คือ การใช้อย่างไม่ถูกวิธี ตังหากที่เป็นอันตราย ยาที่ใช้ลดความอ้วน ที่
เราใช้ๆกัน จะมี โดยคร่าวๆ ที่จะจัดกันอย่างง่ายๆ ก็คือ ยาในส่วนที่มีผลในการ ลด
ความอยากอาหาร ยาในกลุ่มนี้ ที่เป็นที่รู้จักกัน เช่น Sibutramine,Phente
mine,Fenflurramine,Fluoxetine ซึ่งบางตัวอาจจะใช้รวมกัน
กับอีกตัว เช่น Fenfluramine ซึ่งถือเป็นยาที่ อันตรายมีผลในการเกิดโรค
ลิ้นหัวใจ อีกทั้งยังทำให้เกิด ความดันโลหิตสูงในปอด แต่ก็มีการนำมาใช้รวมกันกับ
Phentermine แต่ก็ยังมีผลในการ เกิดโรคดังกล่าวสูงอยู่ดี นอกจากนี้ ในการ
แพทย์ยังมีการใช้ยา โดยอาศัยผลข้างเคียงของยาบางตัว ในการควบคุมน้ำหนัก เช่น
Fluoxetine จัดเป็นยาที่ใช้ในการรักษาอาการทางจิตเวช ใช้ในการรักษา
ผู้มีภาวะ แพนิค,ซึมเศร้า,ย้ำคิดย้ำทำ ซึ่งตัวยา Fluoxetine นั้นเป็นยาที่ใน
วงการแพทย์มีการใช้กันมา กว่า 20 ปีแล้ว และเป็นยาที่มีอันตรายน้อยหากใช้ในปริ
มาณที่ เหมาะสม เพียงแต่ ผลของยา Fluoxetine ยังมีผลในการ ทำให้เบื่อ
อาหาร ซึ่งทำให้มีการนำมาใช้ เพื่อการควบคุมน้ำหนักในผู้มีน้ำหนักเกินอีกด้วย แต่
ทั้งนี้ข้อบ่งใช้ก็ยังต้องอยู่ในความควบคุมของแพทย์อยู่ดี

เราควรใช้ยาลดความอ้วน เพื่อควบคุมน้ำหนักเมื่อไหร่ คำถามนี้มีคำตอบ ดังนี้
คือ เราจะใช้ยาลดความอ้วนก็ต่อเมื่อความอ้วน ที่เรา มีอยู่เกิดเป็นโรคขึ้น 

คำว่าความอ้วน กับคำว่า โรคอ้วน มีความแตกต่างกันอย่างไร คำว่าความอ้วน เป็นภาวะ
โภชนาการเกิน หรือเรียกว่ากินเกิน แต่เดิม เมื่อ 20 ปีก่อน ไม่มีการบัญญัติคำว่า
โรคอ้วน ขึ้น เพราะไม่มีคำอธิบายใดๆที่บอกได้ว่า คนอ้วนเป็นโรค แต่ต่อมี มีการค้น
พบโรค ที่มีผลมาจากระบบเผาผลาญผิดปกติ มากมาย ซึ่งเราจะเรียกโรคในกลุ่มนี้ว่า
เมตาโบริค ซินโดรม คำว่า เมตาโบริค ซินโดรม คือกลุ่มอาการของโรค เบาหวาน โรค
 หัวใจ โรค หลอดเลือด รวมถึงกลุ่มโรค Ncds อีกด้วย คือทุกโรคที่มีผลมาจากระบบ
เผาผลาญที่ผิดปกติ แล้ว ภาวะที่เกิดระบบเผาผลาญที่ผิดปกตินี้ เกิดทำเราป่วยขึ้น ทางการแพทย์จึงมีการบัญญัติ คำว่าโรคอ้วนขึ้น 



โรคอ้วนคือ ความอ้วน ที่เป็นสาเหตุให้ สุขภาพ และการใช้ชีวิตของเรา มีปัญหา เรา
จึงเรียกว่าโรคอ้วน

หลักการที่เราจะใช้ในการควบคุมน้ำหนัก โดยทั่วไปเพื่อความปลอดภัย ก็เป็นที่รู้กัน
ว่าเราจะต้อง ควบคุมอาหาร และ ออกกำลังกาย เพิ่มกิจกรรมในชีวิตประจำวัน แต่เมื่อ
ไหร่ล่ะ ที่เราจะเริ่มใช้ ยาลดความอ้วน

การใช้ยาลดความอ้วน เราจะใช้กันก็ต่อเมื่อ

1.ความอ้วนนั้น นำพาไปสู่โรค ที่มีผลต่อสุขภาพ และความเสี่ยงต่อชีวิต ที่มากกว่า
การใช้ยาลดความอ้วน ยกตัวอย่าง ผู้มีน้ำหนักมากๆที่มีผลต่อ เข่า การมีน้ำหนักมาก
แล้วทำให้เกิดอันตราย ต่อเข่า อาจมีผลระยะยาว กว่าการที่จะเลือกการควบคุมน้ำหนัก
ด้วยการใช้ยา เราก็จะใช้ยา ลดความอ้วน ควบคู่กับการควบคุมอาหาร โดยอยู่ในความ
ดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

2.ได้ทำการ ควบคุมน้ำหนัก โดยการออกกำลังกาย และควบคุมอาหารมาแล้วกว่า 3
เดือน แต่ผลของการควบคุมน้ำหนัก ได้ไม่เกิน 10 %ของน้ำหนักตัวที่ควรจะลดได้
แต่ถึงแม้นี้จะเป็นทางเลือกหนึ่ง หากว่า การควบคุมน้ำหนัก และ โดยการอาหารจะไม่
ได้ผล แต่ก็ควรให้เป็นทางเลือกสุดท้าย และอยู่ในการควบคุมของแพทย์เนื่องจากยา
ลดความอ้วนที่ได้ผล ส่วนใหญ่จัดเป็นยาอันตราย จัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท
ประเภท 2 ไม่สามารถ จำหน่ายทั่วไป โดยไม่ผ่านการควบคุมได้

ยาระบาย เป็นยาลดความอ้วนหรือเปล่า ?

หลายคนที่่ทานยาชงสมุนไพร ที่บอกว่า เป็นยาระบาย ก็ขอให้เลิกกินได้แล้วครับ เพราะ
ยาระบาย เราจะไม่จัดเป็น ยาที่มีผลในการควบคุม หรือลดความอ้วน ด้วยเหตุผลที่ว่า
สิ่งที่จะมีผลต่อการควบคุมน้ำหนัก หรือความอ้วนนั้น เราจะมุ่งไปที่การ ควบคุมไขมัน
การเบิร์นไขมัน การใช้พลังงานสะสมอยู่ ซึ่งยาระบาย จะไม่ได้ให้ผลในการควบคุม
สิ่งเหล่านี้ อีกทั้งยังทำให้เสี่ยงต่อสุขภาพ เนื่องจากการขาด น้ำ และ แร่ธาตุ


ยาระบาย สามารถจัดออกเป็นประเภทได้ดังนี้

1.ยาที่มีฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่

2.ยาเพิ่มความเหลวของ อุจจาระ

3.ยาเพิ่มกากใยไฟเบอร์

4.ยาสวนทวาร

5.ยาเหน็บทวาร

ยาระบายที่มีฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่เป็นยาที่มีความนิยมใช้กันมาก เช่น
Bisacodyl เป็นยาที่มีเม็ดเคลือบน้ำตาล สีเหลือง เล็กๆ เป็นส่วนประกอบของมะขาม
แขก มีทั้งชนิดชง และชนิดเม็ด  แต่ว่าไม่มีผลในการควบคุมน้ำหนักได้จริง เนื่องจาก
ยาจะไปมีผลในทางระบาย เมื่ออยู่ใน ลำไส้ใหญ่ ซึ่ง อาหารที่เรากินเข้าไปจะถูกดูดซึม
ไปหมดแล้วในลำไส้เล็กตอนต้น ที่เหลือที่ลำไส้ใหญ่ก็เป็นเพียง กากใยอาหารที่รอ
การขับถ่ายอยู่แล้ว ยาก็เพียงแต่ไปเร่งปฏิกิริยา ให้ถ่ายได้สะดวกขึ้น ยาระบาย ชนิดนี้
จะมีผล การทำงานอยู่ที่ 8 ชั่วโมงหลังการทานเข้าไปซึ่ง มักจะทานกันในเวลาก่อนนอน
เพื่อให้เห็นผลในตอนเช้า  แต่จากที่อธิบายมาแล้ว จะเห็นได้ว่า ยาพวกนี้ไม่ได้มีผล
ต่อการลดน้ำหนักจริงๆเลย เพียงแต่ อาจจะมีน้ำหนักลงได้บ้าง จากการ สูญเสียน้ำ และ
แร่ธาตุ ซึ่งหากใช้ไปนานๆ อาจจะทำให้เกิดการดื้อยา มีการถ่ายยาก ต้องเพิ่มปริมาณ
ยาไปเรื่อยๆ

ยาลดความอ้วนที่เราจัดเป็นยาที่มีผลในการ ควบคุมน้ำหนักได้จริงๆนั้น ล้วนเป็นยาที่
ต้องอยู่ในความควบคุมของแพทย์ ไม่อาจจะนำมาใช้เองได้ แล้วทำไม จึงยังมีผู้เสีย
ชีวิตจากการใช้ยา ควบคุมน้ำหนักเหล่านี้ในท้องตลาดอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นจริง ในทางปฏิบัติ
แล้ว คือ มีผู้ใช้ยาควบคุมเหล่านี้ อย่างผิดวิธี ทั้งจาก สถานพยาบาลเอง และ จาก พ่อค้า
ที่เห็นแก่ตัว โดยการจำหน่าย ยาชุด เพื่อการควบคุมน้ำหนัก

ยาชุด เพื่อการควบคุมน้ำหนัก คืออะไร ยาชุด พวกนี้ คือยาที่มีการจัดขึ้นเพื่อผลในการ
ควบคุมน้ำหนัก โดยใน 1 ชุด จะประกอบไปด้วยตัวยาต่างๆ ทั้งตัวยาที่มีผลในทาง การ
ลดความอยากอาหาร และตัวยา ระบาย ยาขับปัสสาวะ รวมทั้งยาที่ลดผลข้างเคียงของยา
ควบคุมความอยากอาหารอีกทีหนึ่ง อาจจะมีวิตามินบ้าง เนื่องจากการใช้ยาพวกนี้จะมี
ความเสี่ยงสูงที่จะขาดวิตามินด้วย


ยาชุดส่วนใหญ่จะประกอบด้วยตัวยาหลักๆ ดังนี้

1.ยาควบคุมความอยากอาหาร ซึ่งจะมีตัวยา หลักๆคือ แอมฟีพราโมน เฟนเทอร์มีน
เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ควบคุม ความอยากอาหาร และ ความอิ่มของคนเรา
ซึ่งจะมีผล เหมือนยาบ้า เพราะมี อนุพันธุ์ แอมเฟตามีน เหมือนกับยาบ้า
2.Fluoxetine  ฟลูออกซิติน ปกติ เป็นยาที่ใช้ในผู้มีอาการทางจิตประสาท
แต่นำมาใช้เนื่องจากผลข้างเคียงของยาตัวนี้มีผลให้เบื่ออาหาร แต่ผลในการเบื่ออาหาร
ไม่ได้เกิดขึ้นในทุกคน และ เป็นผลชั่วคร่าว หากใช้ไปนานๆ ผลของการเบื่ออาหาร
จะค่อยๆหายไป ขนาดปกติ ของยาที่ได้รับกันคือ 60 มิลลิกรัม ต่อวัน อาการข้างเคียง
ของยาที่อาจพบได้คือ  อ่อนเพลีย ท้องเดิน  เหงื่อออก นอนไม่หลับ กระหายน้ำ อาเจียน
ทำให้เกิดอาการที่ ทุกทรมาณ มากๆ บางคนคน อ้วกจนเหมือนจะตาย จากที่ผมเคยเห็น
กับตามาแล้ว คือ จะกินข้าว แต่ ก็อ้วก จนเป็นลมไปเลย 

3.ยากลุ่ม ฮอร์โมนธัยรอยด์ Thyroid Hormone
เนื่องจากหน้าที่หลักของ ธัยรอยด์ฮอร์โมนคือ การควบคุมการเจริญเติบโต
การควบคุมระบบเมตาโบริค ของร่างกาย เร่งการหายใจ  จึงมีความเชื่อว่าจะทำให
การเผาผลาญไขมัน และพลังงานสะสมดีขึ้น แต่ ยากลุ่มนี้มีผลต่อหัวใจหลอดเลือด
ทำให้ใจสั่น ความดันโลหิตสูง หัวใจล้มเหลว หัวใจขาดเลือด กล้ามเนื้อหัวใจตายได้
เป็นยาที่มีความ อันตราย อย่างมาก ในคนปกติ หากว่ากิน จะมีอาการเหมือนเป็น
คอพอกเป็นพิษ ใจสั่น วูบวาบ

4.ยาขับปัสสาวะ มักเป็นLasix หรือ HCTZ ซึ่งเร่งในการขับน้ำ และแร่ธาตุออกจากร่างกาย
ซึ่ง มีผลเสียต่อร่างกายโดยตรง ทำให้ร่างกายสูญเสียสมดุลย์ ของน้ำ มีความเสี่ยงที่
จะมีกรดยูริก สูง เป็นที่มาของโรค เกาต์ และโรคหลอดเลือด รวมทั้ง กล้ามเนื้ออ่อนแรง
ตะคริว และ หัวใจที่เต้นผิดปกติ ทั้งยังไม่ได้ผลในการควบคุมน้ำหนักแต่อย่างใด เพียงแต่แค่ รีดน้ำออก
จากร่างกาย เมื่อเราทานน้ำกลับไปทุกอย่างก็จะกลับคืนมา

5.ยาถ่าย หรือยาระบาย ที่จะไปเร่งระบบของการบีบตัวของ ลำไส้ใหญ่ ซึ่งได้พูดไปแล้ว
ในเรื่องของยาระบายข้างต้น

6.วิตามิน เพื่อชดเชยการสูญเสียวิตามิน จากการใช้ยาลดความอ้วน

7.ยากลุ่ม บีต้า บล๊อกเกอร์ B-Blockers ยา จะลดอาการใจสั่น ที่มีผลข้างเคียง
จากอนุพันธุ์แอมเฟตามีน และ ธัยรอยด์ฮอร์โมน ยากลุ่มนี้ ปกติใช้รักษา ความ
ดันโลหิตสูง ยาออกฤทธิ์ยับยั้ง ประสาท กระตุ้นการทำงานของ หัวใจ Sympsth
omimetic effect ที่หัวใจจะลดจำนวนเลือดที่จะบีบออกจากหัวใจใน
แต่ละคร้ง Cardiac output ลดอัตราการเต้นของหัวใจเป็นต้น

8.ยานอนหลับ เนื่องจากผลข้างเคียงของ ยากลุ่มอนุพันธ์ แอมเฟตามีน  ซึ่งกระตุ้น
ระบบประสาท ทำให้นอนไม่หลับ

9.ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด ถ้าไม่ให้ในขนาดที่สูงจนเกินไป ร่างกายก็จะยังพอทนได้
ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 50 mg/dl ก็จะเกิด อาการชักได้ ให้ระวังเอาไว้ด้วยสำหรับ
ขนาดยาที่ได้รับ

10.ยาหลอก จะเป็นแป้ง เพื่อใส่ไปให้ดูเยอะ ไม่มีความหมายอะไร แต่บางทีก็อาจจะ เป็น
วิตามิน เล็กๆน้อยๆเพื่อที่จะได้ คิดเงินค่ายา แพงๆได้ ยาจะเป็น แคปซูล สีเทาแดง บางที
เป็นยาที่ทำปลอม หรือ ยาที่ถูก พิกถอนไปแล้ว กินเข้าไป ก็ตายได้

สำหรับบทนี้ ผมก็ขอฝากไว้คร่าวๆ ในบทหน้าจะพูดถึง ยาที่อยู่ใน การควบคุม ยาที่มี
ผลต่อจิตประสาท มีอะไรบ้าง กินแล้ว เป็นอย่างไร ในบทนี้ก็คงฝากไว้แต่เพียง ยาชุด
เท่านั้นครับ 

ขอบพระคุณครับ

วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557

Intermittent Fasting และ การอดอาหาร บำบัด

Intermittent Fasting และ การอดอาหาร บำบัด

วิธีการไดเอต แบบ อดอาหาร

การอดอาหาร เป็นสิ่งที่ มีการถกเถียงกันในหมู่นักวิชาการทางโภชนาการ กันมาตลอด ซึ่ง
ก็ต่างพยายามจะยก ข้อมูล ทั้งดีและเสีย มาพูดกัน แต่วิชาการในการทดลอง วิจัยในปัจจุบัน
ผนวกกับ แพทย์ทางเลือก ที่เป็นสาย ธรรมชาติบำบัด ได้มีข้อมูล จากการวิจัยใหม่ๆมากมาย
ที่พบว่า การ ไดเอต แบบอดอาหารนั้น เป็นผลดีต่อ ร่างกาย ขัดกับความเชื่อเดิมๆว่าเราควร
จะได้รับอาหารที่ครบ 3 มื้อ


ความเชื่อในแพทย์ทางเลือก หรือที่เราเรียกว่า ธรรมชาติบำบัดนั้น มีความเชื่อในการบำบัด
ด้วยการ อดอาหาร มานานแล้ว ยกตัวอย่าง เช่นการล้างพิษด้วยการอดอาหาร ของ หมอเขียว
ที่จะมีการบำบัด ด้วยการอดอาหาร แม้แต่ใน พุทธประวัติ เอง พระพุทธเจ้าก็ยังให้ความสำคัญ
โดยการบัญญัติไว้ใน กกจูปมสูตร โดยมีเนื้อความดังนี้

"เราฉันอาหาร ณ ที่แห่งเดียว เมื่อเราฉันอาหารหนเดียวอยู่รู้สึกว่า 1. มีความเจ็บป่วยน้อย
 2. มีความลำบากน้อย 3. มีความเบากาย 4. มีกำลัง 5. อยู่อย่างผาสุข
ดูก่อนถึงพวกเธอทั้งหลายก็จงฉันหนเดียวเถิด แม้พวกเธอก็จะรู้สึกว่า
1. มีความเจ็บป่วยน้อย 2. มีความลำบากกายน้อย 3. มีความเบากาย 4. มีกำลัง 5. อยู่อย่างผาสุข"

ซึ่งนี่ก็เป็น คำสอนหนึ่ง ที่มีการปฏิบัติ ในหมู่สงฆ์ มาจนปัจจุบัน ทั้งยัง มีการใช้ใน แพทย์ ทางเลือก
อย่างแพร่หลาย ไม่ว่าใน แพทย์แผนไทย หรือ ในอินเดีย โยคี ก็มีการอดอาหาร ด้วยเช่นกัน



เหตุผลทางวิทยาศาสตร์
ด้วยว่าการอดอาหาร หรือควบคุมปริมาณอาหารที่ได้รับ ให้มีน้อยลง ทานน้อยมื้อลงนั้น ล้วนเป็น
ผลให้ ร่างกายมี พลังงานเหลือ เพื่อใช้ในการซ่อมแซมตัวเองได้  ขออธิบาย อย่างเข้าใจไม่ยาก ดังนี้

1.การอดอาหาร ทำให้ร่างกาย เลือกที่จะซ่อมแซมเซลล์ของร่างกาย แทนการสร้างขึ้นมาใหม่
ขออธิบายตรงนี้ว่า ร่างกายของคนเรา จะมีวงรอบในการ สร้างเซลล์ของร่างกายใหม่ 40-60 วงรอบ
ใน 1 ชีวิตของเรา เซลล์ ล้วนแต่ เกิดขึ้น สร้างใหม่ และ สูญสลายไปเป็น ธรรมดา แต่การร่างกาย
สร้างเซลล์ขึ้นมาใหม่ แทนเซลล์ทีชำรุดไป ก็เท่ากับ วงรอบในการ สร้างใหม่ เร็วขึ้น มีผลให้อายุขัย
ของเรา ลดน้อยลงไปด้วยเช่นกัน หากว่า วงรอบนี้ ช้าลง แทนที่ร่างกายจะเลือกที่จะ สร้างใหม่ โดย
ทำการ ซ่อมแซมแทน มันก็จะอยู่ได้นานขึ้น เราก็อายุขัย ยืนยาวขึ้น ถ้ายกตัวอย่างง่ายๆ หากที่บ้าน
คุณ มีพัดลมตัวนึง เสีย ถ้าคุณทิ้งไป ซื้อใหม่ เงินคุณมีจำกัด ซื้อได้ ไม่กี่ตัว เงินก็หมด แต่ถ้าคุณ เอาไป
ซ่อม คุณก็ยังมีเงินเหลือ ไปซื้อใหม่วันหน้าได้

2.การอดอาหาร ทำให้เกิดกระบวนการ ที่เรียกว่า การกิน ตัวเอง autophagy  ซึ่งเป็นปติ
ธรรมชาติของ สิ่งมีชีวิตอยู่แล้ว ที่จะมีการกินตัวเอง แต่ กระบวนการนี้ คือการที่ร่างกายกินเซลล์ที่เสียหายเซลล์ที่เป็นมะเร็ง หรือแม้แต่โปรตีน ที่อันตราย  ไปเป็นพลังงานแทน ที่อาจจะเรียกได้ว่า ร่างกายกำลังทำความสะอาด ตัวเอง ด้วยการ กินสิ่งที่มีโทษกับร่างกาย ดังนั้น ในกระบวนการ ดีท๊อกร่างกาย ของฝรั่ง ก็จะมีกระบวนการอดอาหารอยู่ด้วยเสมอ

3.การอดอาหาร ทำให้มีการ หลั่งสาร Growth Hormone เป็น 6 เท่าจากปกติ ซึ่งฮอร์โมน
Growth Hormone จะถูกหลั่งมาจาก สมอง ไฮโพทารามัส ต่อมใต้สมองสั่ง ให้หลั่ง ออกมา
Growth Hormone เป็นฮอร์โมน แห่งการเป็นหนุ่มสาว หากมีมาก ก็จะทำให้ความเป็นหนุ่ม
สาวมีมากตามไปด้วย แต่นอกจากนั้นแล้ว Growth Hormone ยังมีผลกับ ระบบ แมตาบอลิซึ่ม
ของร่างกาย อันอาจสรุป เป็นข้อๆได้ดังนี้

 3.1 มีผลต่อ ไขมันแมตาบอลิซึ่ม
ทำให้ กระตุ้นการใช้เซลล์ไขมัน โดยการ ทำหน้าที่กระตุ้นให้ ไตรกลีเซอร์ไรด์ Triglyceride
ทำให้กรด ไขมัน อิสระ หรือ Free Fatty acid มีมากขึ้นทำให้เซลล์อื่นๆสามารถนำไปใช้เป็นพลังงาน
ได้มากขึ้น ทำให้มีการสลายไขมันโดยตับ อ่อน เป็นพลังงานในรูป คีโตน ได้มากขึ้น ซึ่ง Growth Hormone จะหลั่งมาในเวลาหลับสนิทเท่านั้น ซึ่งร่างกายจะเปลี่ยนรูปแบบ พลังงานจาก กลูโคส ไปใช้ คีโตน จากการผลิตของ ตับอ่อนแทนได้มากขึ้น กว่าการใช้ ไกลโคเจน ในตับอ่อน ที่สะสมไว้ใช้ในช่วง นอนหลับ หรือที่เราจะเรียกว่า การอดอาหารขณะนอนหลับนั่นเอง

3.2ผลต่อ คาร์โบไฮเดรตแมตาบอลิซึ่ม
ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือด ถูกควบคุมโดย Growth Hormone โดยการควบคุมทางอ้อม
ผ่านสารที่มีชื่อว่า IGF-1 ซึ่งเป็นสาร ที่มีโครงสร้างคล้ายคลึงกับ อินซูลิน
IGF-1 เป็นสารช่วยควบคุมระดับน้ำตาล ในกระแสเลือดที่มีประสิทธิภาพ สูง คล้ายอินซูลิน โดยปกติ ตับอ่อน ในร่างกายจะมี เซลล์ตับอ่อน สองประเภท คือ

อัลฟ่าเซลล์ เร่งการเผาผลาญ ไกลโคเจน ที่สะสมภายในตับ ให้กลายเป็น กลูโคส เมื่อร่างกายต้องการพลังงาน

เบต้าเซลล์ เร่งให้ตับแปรสภาพ น้ำตาล ส่วนเกิน ในกระแสเลือด ให้กลับมาเป็น พลังงานสำรองในตับในรูปของ ไกลโคเจน ด้วยสาร อินซูลิน



ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน จะพบว่า ระบบการทำงานของ เบต้าเซลล์  ทำงานบกพร่อง ผลิต อินซูลินได้น้อยลง ทำให้มีน้ำตาลตกค้าง ในกระแสเลือดมากกว่าปกติ จนปะปนออกมากับ ปัสสาวะ  เราเรียกเบาหวาน เนื่องจาก ขับถ่ายออกมา มีน้ำตาลปนมาด้วย  ดังนั้น IGF-1 จึงมีคุณสมบัติ ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ได้อย่างปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ  นำมา ทดแทนการฉีด อินซูลินในผู้ป่วยเบาหวานได้
จึงอาจจะเรียกได้ว่า Growth Hormone มีผลในทางอ้อมในการ ควบคุมระดับน้ำตาล ได้เช่นเดียวกับ อินซูลิน

การไดเอต รูปแบบ Intermittent Fasting เป็นรูปแบบการอดอาหาร ที่มีรูปแบบในการ กำหนดช่วง เวลาการทาน
อาหาร ออกเป็น 2 ช่วง คร่าว
1.ช่วงของการทานอาหาร เราจะนับระยะเวลา หลังการทานอาหารเข้าไปด้วย 2 ชั่วโมง อย่างเช่น หากเรา ทานอาหาร 1 ชั่วโมง เวลาย่อยอาหาร 2 ชั่วโมงเราจะนับเข้าไปด้วย กลายเป็น 3 ชั่วโมง ของการกินอาหาร
2.ช่วงของการอดอาหาร นับตั้งแต่ หลังจาก ช่วงเวลาทานอาหาร และย่อย อาหารผ่านไปแล้ว คือตั้งแต่ 3-70 ชั่วโมง เราจะทำการอดอาหารซึ่ง เราจะไม่ทำเกิน 70 ชั่วโมง เพราะ จะส่งผลกระทบให้ร่างกาย เข้าสู่ ภาวะ ธำรงค์ดุลย์ ซึ่งจะทำให้ร่างกาย ควบคุมน้ำหนักได้ยากขึ้น

ในการอดอาหารรูปแบบ Intermittent Fasting นั้น โดยปกติ ชีวิตคนเรา ที่ทานอาหาร กันวันละ 3 มื้อ ก็ล้วนแล้วแต่ต้อง อดอาหารรวมๆคร่าวๆแล้ว ประมาณวันละ 12 ชั่วโมง ยกตัวอย่าง คือ ในเวลานอน 8 ชั่วโมง + เวลา ก่อนนอน และหลังตื่น 4 ชั่วโมง เพียงแต่หากว่าเรา เลื่อนมื้อเช้าไปให้ช้าขึ้น แล้ว ก็จบมื้อ อาหารให้เร็วขึ้น เราก็ทำการอดอาหาร แบบ InterMittent Fasting ได้แล้ว

Intermittent Fasting นั้นมีหลายแบบ มีทั้งแบบ ง่าย และ แบบยาก แต่ควรเริ่มจากการ อดอาหาร แบบ 12/12 ไปก่อน

12/12 คือการอดอาหาร 12 ชั่วโมง กิน 12 ชั่วโมง  เรามีเวลาในการกินอาหาร 12ชั่วโมง โดยนับรวม เวลา ย่อยอาหารเสร็จในมื้อ สุดท้ายไปด้วย ซึ่งรูปแบบนี้ง่ายที่สุด เพราะปกติ คนทั่วไปที่กินอาหารปกติ 3 มื้อ ก็จะจัดอยู่ในรูปแบบนี้ทั้งสิ้น เพียงแต่ เป็นการกำหนดเวลาที่ชัดเจน มากขึ้นเท่านั้น เวลาที่เรานอน 8 ชั่วโมง ซึ่ง เป็นเวลาที่เราต้องอดอาหารอยู่แล้ว + กับเวลา ก่อนนอน 2 ชั่วโมง และ หลังตื่นนอน 2 ชั่วโมง ก็นับได้แล้วว่า อดอาหาร 12 ชั่วโมง

8/16 คือ ก็จะปรับลดเวลา ทานอาหารให้เหลือ เป็น 8 ชั่วโมง และ เวลาในการอดอาหารก็เพิ่มขึ้นมา เป็น 16 ชั่วโมง ต่อวัน โดยอาจจะ เริ่มปรับ โดยการ เขยิบมื้อ อาหาร มารวบ โดนอาจจะค่อยๆ เริ่มจากการ ขยับ มื้อ อาหารเช้า ให้ ช้าลง  แล้วจบมื้อสุดท้าย ให้เร็วขึ้น ให้อยู่ในระยะเวลา 8 ชั่วโมง

5/19 หรือที่เรียกว่าFast-5 ปรับลดช่วงเวลา การทานลงมา เป็น 5 ชั่วโมง อด 19 ชั่วโมง หรือจะปรับลดต่ำกว่านี้ก็แล้วแต่ ความต้องการของแต่ละบุคคล แต่เวลาอดอาหารควรจะได้ซัก 17 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ

24/24 คือ อดอาหาร แบบอด 1 วัน แล้วก็ กิน 1 วัน  แต่วิธีนี้ ควรทำ แค่เพียง ไม่เกิน 2 ครั้งต่อสัปดาห์ และไม่ควรทำ ติดๆกัน




รูปแบบ  Alternat Day Fasting /Adf
เป็นไดเอต สลับ วันกินปกติ กับวัน กินน้อย โดยจะแบ่งออกเป็น 1 วันกินอาหารปกติ 2 วันควบคุมปริมาณอาหาร โดยจะปรับจาก อาหารปกติที่ทาน เหลือเพียง 20 % ของพลังงานที่ได้รับต่อวัน อาจจะปรับเพิ่ม เป็น 35% - 40% แต่ถ้าพอใจในน้ำหนักก็จะปรับมาเป็น 50 - 60 % ของอาหารที่ได้รับต่อวัน

ทั้งนี้ หลายคนอาจจะข้องใจกับ Intermittent Fasting ว่าการอดอาหารแบบนี้ ไม่ทำให้เกิด YoYo หรือไง คำตอบคือ การอดอาหารแบบนี้ เราจำเป็นต้อง ประคองไม่ให้ การอดอาหาร หรือขาดสารอาหาร มีความต่อเนื่อง นานเกิน 72 ชั่วโมง คือ จะอธิบายว่า มันก็เป็นการอดอาหาร ที่มีความใกล้เคียงกับ การอดอาหารของสาวๆ ที่ทำให้เกิดอาการ YoYo เพียงแต่ เป็นการอดอาหาร ที่ควบคุม ตามระยะเวลา ไม่ให้ ยาวนานเกินไป มีการอดอาหาร และทานอาหาร แบ่งออกเป็นช่วงๆ ซึ่งสามารถ ปรับเปลี่ยนได้ ตามแต่สภาพของบุคคล แต่ทั้งนี้ การไดเอต รูปแบบ การอดอาหารก็เป็นทางเลือกหนึ่ง ที่ใช้กำจัดไขมันได้ดี เพียงแต่ต้องค่อยๆปรับ การไดเอต ให้เหมาะกับตนเอง  ซึ่งจริงๆ วิธีการไดเอต แบบนี้มีทำกันมานานแล้ว เพียงแต่ มันขัดกับความรู้ ของเราที่ผ่านมา เท่านั้น สำหรับผม ผมคิดว่า การไดเอตแบบนี้ ได้ผลแต่ต้องทำ อย่างมีสติ ค่อยๆปรับจาก ระดับเล็กน้อย อย่างเช่น การอด อาหาร 12/12 มันง่าย และเบา แต่ที่เรา ไดเอต ไม่ใช่เพื่อลดความอ้วน อย่างเดียว เราต้องการ ผลประโยชน์จากกระบวนการต่างๆของ การไดเอต นี้ด้วย เช่น กระบวนการ ขจัดเซลล์ ที่ไม่ดี โดยการ กินตัวเอง ที่เรียกว่า autophagy ก็มีการวิจัย และทดลอง มาแล้ว ในสัตว์ และในคน ที่เป็นมะเร็งมาแล้ว ว่า การอดอาหาร มีผล ให้ มีการกินเซลล์ มะเร็งได้ ทำให้ผู้ป่วย ดีขึ้น  ในสัตว์ ทดลอง เช่นหนู มีการฉีดเชื้อมะเร็ง เข้าไป แล้วทดลอง ให้อาหาร หนู ปรากฏว่า หนูที่ได้ อาหารเต็มที่ กลับตายเร็วกว่า หนูที่อดอาหาร กลับปรากฏว่า เชื้อมะเร็ง หายไปเนื่องจากกระบวนการ กินตัวเอง หรือ autophagy  ในคนก็เช่นกัน ทดลองในคนที่ ป่วยมะเร็ง ก็พบว่า เซลล์มะเร็ง หายไป และสุขภาพดี กว่าคนที่ กินอาหารปกติ


การกินอาหารที่มากมื้อ ทำให้ร่างกายสูญเสียพลังไปในการย่อยมาก จะสังเกตุได้จาก หลังจากมื้ออาหารที่เราเพิ่งทานใหม่ๆ เราจะรู้สึกง่วง เนื่องจาก ร่างกายต้องนำพลังงานไปใช้ในการ ย่อยอาหาร ทำให้เรารู้สึก อยากนอน

การ ไดเอต ไม่ใช้จำกัดอยู่แต่เฉพาะผู้ ควบคุมน้ำหนักเท่านั้น แต่ในผู้ที่ต้องการมี สุขภาพที่ดี ควบคู่ไปกับ การออกกำลังกายแล้ว ก็จะใช้การไดเอต ร่วมด้วย นักกีฬา ก็ใช้การไดเอต ควบคุ่กับการ ฝึกฝนร่างกาย ทั้งนั้นครับ ไม่ว่าจะเป็น นักวิ่ง  นักมวย นักกล้ามยิ่งแล้วใหญ่ ดังนั้น การไดเอต จึงเป็นสิ่งที่ควรทำ หากเราต้องการ ทั้งการควบคุมน้ำหนัก และ สุขภาพที่ดีครับ แต่การจะ ไดเอต รูปแบบไหน นั้นก็แล้วแต่ ว่าเราจะ มีความเหมาะ กับรูปแบบไหน ทั้งนี้ ร่างกายของแต่ละคนก็มี ความพร้อม มีสักยภาพที่ต่างกันไป ไม่อาจจะ ทำในสิ่งเดียวกันได้ จึงควรเลือก ที่เราทำแล้วไม่ขัดกับเรา และ เราชอบครับ

ในบทนี้ก็ไม่มีอะไรมาก หากมีสิ่งใดไม่ดี ผิดพลาดไป ขออภัยมา ด้วยนะครับ

ขอบพระคุณครับ




วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2557

Fast-5 Diet ไดเอต ฉบับ Dr.Bert Herring ทำไม อินซูลิน จึงเป็นปัญหา


 

Fast-5 Diet ไดเอต ฉบับDr.BertHerring

ไดเอต รูปแบบของการ อดอาหาร เป็นช่วงๆ การอดอาหารในรูปแบบ ของ Dr.Bert Herring ได้เริ่มต้นมาจาก การศึกษา ถึงการควบคุมระบบ เมตาโบลิก ของมนุษย์โดยอ้างอิงถึง การควบคุม ระบบเผาผลาญ โดยมีความพยายาม ควบคุม ปริมาณ และ ระยะเวลาที่ อินซูลิน จะสามารถอยู่ใน กระแสเลือด ให้มีระยะ ไม่เกิน 7 ชั่วโมงต่อวัน โดยจะเริ่มนับระยะเวลาเริ่มจาก การเริ่มทานอาหาร ไปจนถึง ระยะเวลาสิ้นสุด การทานอาหาร 5 ชั่วโมง โดยให้นับรวม 2 ชั่วโมงหลังจากช่วงเวลาการทานอาหารสิ้นสุดลงด้วย 2ชั่วโมง เนื่องจาก อินซูลิน ยังคงทำงานอยู่ในกระแสเลือด รวมเป็น 7 ชั่วโมง

เนื่องจาก อินซูลิน มีหน้าที่ ในการ กักเก็บไขมัน ไว้ในเนื้อเยื่อไขมัน ดังนั้น การที่ให้ ควบคุม อินซูลิน
ให้ออกมาในช่วงเวลาที่กำหนด ก็ย่อมมีผลต่อการเก็บสะสมไขมัน ให้อินซูลินมี ช่วงเวลาในการ เก็บไขมัน ในร่างกายที่สั้นลง และในช่วงที่อดอาหาร ก็จะ ให้ตับอ่อน ทำหน้าที่ดึงเอา ไขมัน มาเป็นพลังงานใช้ในร่างกาย แทน กลูโคส โดยตับอ่อนจะ ผลิต คีโตน ออกมาเป็นพลังงานให้กับร่างกาย และ ผลิต กลูโคส ให้กับสมอง ซึ่งเป็นระบบที่ ร่างกายจะเปลี่ยนรูปแบบการใช้ พลังงานจาก กลูโคส ที่ได้จาก อินซูลิน ไปใช้พลังงาน ไขมัน แทน

แนวคิดในการควบคุม อินซูลิน เป็นแนวคิด ที่มีอยู่ใน การ ไดเอต อย่างเช่น atkins diet, dukan diet,intermitten fasting อีกหลายๆสูตร ไดเอต

การควบคุมอาหาร แบบ อดอาหารเป็น ช่วงเวลา นี้ เราจะเรียกกันว่าIntermittent Fasting ซึ่งในรูปแบบ ของ Dr.Bert Herring
เป็นการจัดสรรค์ ช่วงเวลา ออกเป็น เวลาที่ ทานอาหาร และเวลา อดอาหาร เวลาอดอาหาร 19 ชั่วโมง กินอาหาร 5 ชั่วโมง แต่ถ้าหาก ทำแล้ว ไม่รู้สึกดี จะปรับลด เวลาอดอาหาร เหลือ 17 ชั่วโมงก็ได้ ไม่ว่ากัน


กลไกการทำงานของ อินซูลิน ที่ทำให้ นักวิทยาศาสตร์ คิดว่ามีปัญหา คือ กลไก ของอาการดื้อ อินซูลิน ในสมัยก่อน นักวิทยาศาสตร์ ยังไม่ทราบว่า เหตุใด คนเราจึงเป็นโรคเบาหวาน เพียงแต่แค่รู้ว่า ลักษณะของอาการ โรคเบาหวานคือ ปัสสาวะบ่อย แต่ด้วยวิทยาการในสมัยนั้นยังไม่ก้าวหน้าเพียงพอ จึงใช้วิธีนำเอา ฉี่ ของผู้ต้องสงสัย ไปตากจนแห้ง แล้วให้นักวิทยาศาสตร์ ชิมรสเอา หลายคนอาจจะคิดว่าตลกแต่สมัยก่อนเป็นเช่นนี้จริงๆ เพราะไม่มีวิทยาการใด จะบ่งบอกได้ว่า เป็นเบาหวาน จนในที่สุด แมกคัลสกี้ นักวิจัย ได้ทำการ ทดลอง ตัดตับอ่อนของ สุนัข เพื่อการทดลอง ปรากฏว่า สุนัข เป็นโรคเบาหวาน หลังจากตัดตับอ่อน จึงทำให้เข้าใจว่า ในตับอ่อน ต้องมีสิ่งใดอยู่แน่ๆ จึงทำการทดลอง พบว่า มีอินซูลินอยู่ หากแต่ว่าการสกัดเอา อินซูลินมารักษาโรคเบาหวานในสมัยก่อน ไม่สามารถทำได้ เนื่องจาก มีเซล ที่ย่อยสาร ย่อยโปรตีน เปปติเดด ทำการการย่อย อินซูลินอีกที จึงทำการ สกัดสาร อินซูลิน ไม่ได้ จนในปี 192 เฟดเดอร์ริก เบนติ้ง ก็ได้ทำการ สกัด อินซูลินได้ เป็นผลสำเร็จ และได้รับรางวัลโนเบลจากการ ค้นพบนี้ เมื่อเอาไปทดลอง ในเด็กที่ ตับอ่อนชำรุด ปรากฏว่าได้ผลในการรักษาที่ดี เนื่องจาก เด็กมีอาการ ที่ดีขึ้น แต่เมื่อนำไป ทดลองในผู้ใหญ่กลับพบว่า ไม่ได้ผล เนื่องจาก มีภาวะดื้ออินซูลิน คือมีอินซูลิน ในปริมาณมาก ผิดจากที่ นักวิทยาศาสตร์คิดไว้ ว่า เบาหวาน เกิดจากภาวะ ขาดอินซูลิน แต่ผลที่ได้ กลับผิดคาด ปรากฏว่า ตัวอย่างการทดลอง มีปริมาณ ของอินซูลินที่มาก กว่าคนปกติ 2-3 เท่า แต่กลับเป็นเบาหวาน เนื่องจาก ภาวะ ที่ร่างกาย ดื้อต่ออินซูลิน อินซูลิน ไม่สามารถทำงาน โดยการ เปลี่ยนสภาพ คาร์บ ไปพลังงานได้ จึงเกิดเป็นเบาหวาน ทั้งหมดนี้ จึงเป็นที่มาส่วนหนึ่ง ของการ ไดเอต ทั้งหลาย ที่พยายาม จัดการกับ อินซูลิน โดยให้ อินซูลิน มีระยะเวลาการทำงานที่สั้นลง ผลิต น้อยลง เพราะเชื่อว่า การที่ อินซูลินมีการผลิตมาก ผลิตบ่อย ทำให้ร่างกาย ดื้ออินซูลิน เป็นผลให้เป็นเบาหวาน โรคอ้วน ซึ่งทำให้เกิดภาวะ เมตาโบริกซินโดรม (metabolic syndrome) ซึ่งคือกลุ่มอาการ ความบกพร่องจากระบบเผาผลาญ เช่นโรคอ้วน โรคเบาหวาน นอกจากนั้น การเกิดภาวะ อินซูลิน ไม่สามารถรักษาระดับ น้ำตาลในเลือดได้ทำให้ เกิดสารร่องลอย ไม่มีการจัดเก็บ ทำให้เกิดภาวะมะเร็ง และ อักเสบภายในร่างกาย อีกด้วยซึ่งถือว่า ทั้งหมดนี้เกิดจาก Metabolic SynDrome ซึ่งทั้งหมดนี้คือ ที่มาของการ พยายามควบคุม อินซูลิน ในไดเอต แบบ Fast-5,atkins,dukan และอื่นๆอีกมากมาย
 
หลักการ Fast-5

1.อดอาหาร 19 ชั่วโมง ทานอาหารได้ 5 ชั่วโมงต่อวัน

2.ใช้การ ค่อยเป็นค่อยไป ในการ พยายาม เลื่อนมื้ออาหาร เช้าไปเรื่อยๆ  ทานได้จำนวนไม่จำกัด ไม่จำกัดมื้อด้วย แต่ขอให้อยู่ในช่วงเวลา

3.ทานอาหารอะไรก็ได้ จำนวนเท่าใดก็ได้ กี่มื้อก็ได้ในช่วงเวลาที่กำหนด 5 ชั่วโมง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า กินแหลก ควรกินให้พอเพียงต่อความ ต้องการของร่างกาย ถึงจะไม่ได้ระบุว่าให้กินได้แค่ไหน แต่ก็ไม่ควรน้อยเกินกว่า 1200 -1400 kcal  แต่ก็ ไม่ควร เกินกว่าความต้องการมาก เพราะควรจำไว้ว่าเรากำลัง ไดเอต

4.ทานอาหาร 17.00 - 22.00 ถือเป็นช่วง  Action loss ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด เนื่องจาก เป็นช่วง หลังเลิกงาน ทุกคนพร้อมจะ พักผ่อนแล้ว แต่หากสะดวกในเวลาอื่น ก็สามารถ เลื่อนเป็นเวลาอื่นได้


การเลื่อนมื้ออาหาร

วิธีการ ไดเอต ในรูปแบบนี้ มีเป้าหมาย ในการจำกัด และควบคุมอินซูลิน ให้มีช่วงเวลา
ที่อยู่ในกระแสเลือด ให้สั้น ที่สุด และปริมาณ ที่ออกมาทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ในช่วง
เวลาของมัน จะไม่มีการกิน หลายมื้อ เพราะมองว่า การทานหลายมื้อ ทำให้ อินซูลิน ออก
มาบ่อย พร่ำเพรื่อ เกินไป ทำให้คุณภาพ อินซูลิน ต่ำลง เนื่องจาก หาก อินซูลิน มีชั่วโมง
การทำงานในกระแสเลือดมาก ก็จัดเก็บไขมัน มากด้วย เมื่อไขมัน มีมาก ทั้งนี้ หมายถึง 
ไขมันที่เกิดจาก การแปรสภาพ มาจากแป้ง และน้ำตาล เราไม่นับรวม สารอาหารประเภท
ไขมันที่เราทานเข้าไป เพราะผลการวิจัย พบแล้วว่า สารอาหารประเภทไขมัน หรือที่เรียกว่า
ไคโรไมคลอน จะถูกน้ำดี ขับออกมา ในเวลาไม่เกิน 8 ชั่วโมง แต่ไขมันที่สะสมในร่างกาย
ของเรา มาจากไขมัน ที่เกิดจากการ กักเก็บของ อินซูลินทั้งสั้น ดังนั้น ระยะเวลา ในการ
รวบ เวลา เพื่อให้ อินซูลิน ออกมาในเวลาที่จำกัด จึงมีความสำคัญ 

วิธีการเลื่อนมื้ออาหาร หากจะแนะนำวิธีการเลื่อนมื้ออาหาร เพื่อให้ ระยะเวลา ทานอาหาร
เป็นไปตามสูตร ของ Fast-5 แนะนำให้ พยายาม เลื่อนมื้ออาหารเช้า ออกไป ทีละ 30นาที
หรือ ทีละ 1 ชั่วโมง โดยพยายามรวบ มื้อ อาหารไปก่อน เช่น หากว่าเราทานเช้า 8 โมง
เราก็ไปทาน 8.30 ปรับไปทีละ 30 นาที จนกว่าจะ ไปชน เวลาอาหารเที่ยง แล้วเราก็ รวบ
มื้ออาหารเที่ยง เป็นมื้อเดียวกับ มื้อเช้า เราก็ทำการรวบ มื้ออาหาร ไปอีกทีละ 30 นาที จนไป
ชนเวลา 17.00 เราก็ รวบเวลาทาน เป็น 17.00 - 22.00 ทานกี่มื้อก็ได้ ซึ่ง การรวบมื้ออาหาร
ในตอนแรก อาจจะ ทาน 3 มื้อ 3 ช่วงเวลาไปก่อน แล้วค่อยๆรวบ เป็น 2 มื้อ สองเวลา แล้วปรับ
เป็น 1 ช่วงเวลา กี่มื้อก็ได้ ตามสูตร จะทำให้ ไม่ยากจนเกินไป ไม่แนะนำการหักดิบ

สำหรับหลักการ ของ Fast-5 นั้น อาจจะดูโหด แต่ในความจริง ในทางปฏิบัตินั้น ไม่ได้
หนักหนา อย่างที่คิดกันนัก เนื่องจาก การไดเอต โดยการ อดอาหาร รูปแบบนี้ จริงอยู่ ว่า
มีเวลา กินอาหารแค่ 5 ชั่วโมง แต่หาก นับรวม เวลาที่ กิน เสร็จแล้ว ไปอีก 2 ชั่วโมง ซึ่ง
อินซูลิน ยังคงทำงานอยู่นั้น ก็รวมได้เป็น 7 ชั่วโมง ที่เราจะไม่หิว  หลังจาก 24.00 ผมนับรวม
2 ชั่วโมงหลังกินไปด้วย เพราะ เราก็ยังเพิ่งกินเสร็จยังไม่หิวแน่นอน 24.00 เราก็นอน ปกติ
ตอนนอนเราก็อดอาหารอยู่แล้ว 8 ชั่วโมง ก็นับจริงๆ เราก็อดอาหารเพียงแค่ 8 ชั่วโมง เท่านั้น

การไดเอต Fast-5 มีข้อห้ามดังนี้คือ

1.ไม่ทำการหักดิบ เราจะไม่ทำการอดอาหาร รวดเดียว เราจะค่อยๆปรับเวลา รวบมื้ออาหาร
ให้เหลือมื้อเดียวอย่างช้าๆ

2.ไม่ทำในคนที่ ป่วย คนท้อง หรือสงสัยว่าท้อง เด็ก ผู้มีโรคประจำตัว ผู้ป่วยเบาหวาน หัวใจ
ความดัน รวมทั้งโรค อื่นๆที่มีความเสี่ยงและห้ามการอดอาหาร

3.การไดเอต รูปแบบ การอดอาหาร อาจมีผลต่อผู้ที่มีความ เซนซิทีฟ ต่อระดับน้ำตาลในเลือด
ที่ต่ำลง จึงควรยอมรับความเสี่ยงตรงนี้ด้วย

ข้อเสียของการ ลดน้ำหนักในรูปแบบ Fast Five นั้นคือ

1.การทานอาหาร โดยไม่จำกัดประเภทของแหล่งอาหาร ทำให้ ร่างกายอาจจะได้รับ ไขมันส่วน
เกินมาได้มาก ทำให้มีปัญหา ต่อหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากสูตรการลดอาหารแบบนี้ ไม่เน้น
การบังคับชนิดอาหาร แต่เจ้าของสูตรก็ได้บอกว่า เมื่อทำการอดอาหาร แรกๆ จะทานทุกอย่าง
ที่ขวางหน้า เพื่อทำการ ทดแทนการอดอาหารที่ผ่านมา แต่เมื่ออยู่ตัวแล้ว การทานจะค่อยๆควบคุม
ได้และทานน้อยลง  แต่ทั้งนี้ก็ควรทานให้เป็นไปตามที่ร่างกายต้องการ สารอาหารต่อวันจริงๆ

2.การควบคุมการทานอาหารแบบนี้ มีผลทำให้ ร่างกายทำงานหนัก เนื่องจากอาหารที่ทานส่วน
ใหญ่ซึ่งจะอยู่ท้องจะเน้นไปที่โปรตีน ซึ่งทำให้ร่างกายเกิดสภาวะ ความเป็นกรดได้ ร่างกายจึง
จำเป็นต้องไปดึง แคลเซียม จาก กระดูกมาทำการ รักษา สมดุลย์ของร่างกาย ทำให้กระดูกพรุน
ตามมาได้

3.คนเราในปัจจุบันมีวิธีชีวิต ที่ไม่สามารถเลือกรับทานอาหาร ตามเวลาที่กำหนดแน่นอน ตาย
ตัวได้ วิถีชีวิตเร่งรีบ กินเวลาไหนได้ก็ต้องกิน

4.หากว่า น้ำตาลในเลือดต่ำลง ในบางคน ไม่อาจทนได้ ก็อาจจะมีอาการ คลื่นไส้อาเจียน และ
หน้ามืดได้ ซึ่ง อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ได้จึงไม่เหมาะกับทุกคน

5.การอัด มื้ออาหาร ไว้ใน ช่วงเวลาเดียว ทำให้ กระเพาะ ต้องทำงานเกินความจำเป็น อาจเกิดกระเพาะ
คราดได้

6.การทานอาหาร ให้สามารถอยู่ท้องได้นาน นั้นจำเป็นต้อง ทานเนื้อสัตว์ แต่การทานเนื้อสัตว์ เป็น
ผลทำให้เกิด กรด ยูริก ซึ่งหาก ร่างกาย ขับไม่ทัน ก็จะทำให้เกิดการตกผลึก ทำให้เกิด โรคเก๊าได้
ซึ่ง เป็นผลต่อเนื่องจากการเป็นโรคหลอดเลือด และ โรคหัวใจอีกต่อหนึ่ง

7.การควบคุมน้ำหนัก หรือไดเอต โดยการเน้นการ จัดการกับ คาร์บ ที่เป็นพลังงานหลักของร่างกาย
แล้วไปใช้ พลังงานจาก คีโตน ที่ผลิตมาจาก ตับอ่อนแทน แล้วให้ตับอ่อน ผลิต กลูโคส ไปเลี้ยงสมอง
อีกที ผมไม่แน่ใจว่า มันจะดีจริงหรือเปล่า 

ในทางปฏิบัติ ก็ต้องถือว่า ความเชื่อในการ อดอาหาร ในรูปแบบ Fast-5 นั้น หักล้าง
ความเชื่อเดิมๆที่ว่า ต้องทานอาหาร 3 มื้อทุกวัน เนื่องจาก ในผู้ปฏิบัติหลายคน สามารถลดน้ำหนัก
ได้จริง และยังมีสุขภาพที่ดี เนื่องจากการอดอาหารในรูปแบบ Intermittent Fasting
ซึ่งมีงานวิจัย มาแล้วว่า การอดอาหาร เป็นช่วงๆ แบบนี้ กลับมีผลดี ทำให้ ร่างกายสร้าง Growth
hormone ซึ่งเป็นฮอโมนแห่งความหนุ่มสาว เพิ่มขึ้น เกิดกระบวนการกินตัวเอง หรือที่เรียกว่า
Autophagy

ส่วนตัว ผมทำ และก็ อาจจะเรียกว่าทำอยู่ แต่ที่ทำ น่าจะเรียกว่า  Intermittent Fasting มากกว่า แต่ Fast-5 ก็เคย ลองทำ แต่รู้สึกว่า ช่วงเวลามันไม่ได้จริงๆ รู้สึกว่า มันหน้ามืด และรู้สึกว่า แรงไม่พอ ออกกำลังกายไม่ไหว แต่ที่ทำอยู่คือ ทำคล้ายๆกัน แต่จะ อดอาหารแค่ 16 ชั่วโมง จะเริ่มทานเช้า แล้ว ทานแบบอัดเลย คือตอนเช้า ผมจะไปวิ่งก่อน 1 ชั่วโมง แล้วก็กลับมา ซัดแหลก ช่วงเวลาทานอาหารของผม ไม่ใช่ 5 ชั่วโมง แต่จะ ราวๆ 7-8 ชั่วโมง  แต่ที่ผมทำ ไม่ได้มีความตั้งใจจะทำ Intermittent Fasting เพียงแต่ ผม เป็นคนมีนิสัย ชอบกิน อาหารแบบอัดแหลก ช่วงเช้า แล้ว พอบ่ายๆ ผมจะไม่หิว
ก็เลยไม่กิน แต่ก็คิดว่า ดีเหมือนกันนะ ลองทำแล้วก็ ok

สรุปได้ว่า การ ไดเอต รูปแบบ Fast-5 เป็นไดเอต ที่มีคนทำแล้ว ประสบผลที่ดี และมี การทดลอง
ที่หักล้างความเชื่อเก่าๆมาแล้วมากมาย แต่ทั้งนี้ ในผู้ที่สนใจจะทำ ขอให้ ทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป และ
ปรับสูตร และช่วงเวลาให้เหมาะกับตนเอง จริงๆ ผมจะบอกว่า หลายคนทำแล้วดีจริงๆ นักเพาะกาย
บางคนก็ทำ การอดอาหาร ในรูปแบบ Intermittent Fasting ใครอยาก ทดลองทำได้
แต่ต้อง ได้รับสารอาหารที่พอเพียง ต่อวันด้วย ไม่ใช่ อดอย่างเดียว และ อย่างอดอาหารเกิน 72 ชั่วโมง
การอดอาหารเป็นช่วงๆแบบนี้ แค่เป็นการ จัดช่วงเวลา รับประทานอาหารใหม่ เพื่อควบคุม การหลั่งอินซูลิน ไม่ใช่วิธีการ อดอาหารแบบ ทานน้อย จนขาดสารอาหาร อย่างที่หลายคนอาจจะเข้าใจกันผิดๆ มันคือ ทาน แต่ทานในช่วงเวลาจำกัด พอเข้าใจนะครับ

สำหรับบทนี้ ผมมีเท่านี้ แต่จริงๆ มันจะมีต่อไปอีก แต่อยากไป เขียนต่อในบทหน้ามากกว่า เพราะมันจะ
เกี่ยวโยงกัน จะพูดถึง การ อดอาหาร แบบ Intermittent Fasting ว่ามันเป็นยังไง มันก็ค่อยๆกับ Fast-5 แต่ก็อยากให้ติดตามกันครับ บทนี้เสริมเรื่อง อินซูลิน นอกเรื่องไปบ้าง อ่านยากหน่อย เข้าใจยากหน่อยก็ขออภัยนะครับ

ขอบพระคุณครับ


วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Dukan Diet


 Dukan Diet


เป็นวิธีการ ไดเอต ที่คิดค้นขึ้นโดย นักโภชนาการ ชาวฝรั่งเศส ที่มีชื่อว่า ดร.ปิแอร์ ดูกอง
หลักการของ ดูกอง คือการ จัดสัดส่วนอาหาร และ ช่วงเวลา

Dukan Diet ใช้แนวคิดที่ในการจัด สัดส่วนของอาหาร โดยเน้นไปที่ โปรตีน  เนื่องจาก
เหตุผลที่ว่า  โปรตีน ถือเป็นสารอาหาร ที่เสริมสร้าง กล้ามเนื้อ และไม่เพิ่มชั้นไขมัน โดยจะ
เน้นการ สัดส่วน โปรตีน ถึง 80 % ของสารอาหารที่ควรได้รับ เฉลี่ยต่อวัน

ตัวอย่าง
หากเรามี ปริมาณ สารอาหารที่ ได้รับต่อวัน 2500 kcal เราก็จะต้องคิด เป็น 80%
ก็ คือ (2500x80)/100 = 2000 kcal ต่อวัน ซึ่งจะเป็นช่วงที่น้ำหนัก ลง
อย่างรวดเร็วที่สุด เฉลี่ย ถึง สัปดาห์ละ 1-2 กิโล แล้วจะมีการค่อยๆปรับสูตร ให้ มีอาหาร
อย่างอื่นแทรกเข้าไป เรื่อยๆ แล้วก็กลับมาทานอาหาร อย่างปกติ




หลักการ แบ่งช่วง ของ Dukan จะมีการแบ่งออกเป็น 4 ช่วง

1.attack phase ถือเป็นช่วงที่จะมีการจัดการ ประเภทอาหาร เป็นโปรตีนชนิด
ที่มีไขมันอิ่มตัวต่ำ หรือ Lean Protein เป็นหลัก  ห้ามการทาน น้ำมัน ทุกชนิด
เนย เครื่องปรุงรส อย่างเด็ดขาด  จะถือเป็นการหักดิบ เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยจะ
เป็น มีแหล่งอาหาร ส่วนใหญ่มาจาก โปรตีน ล้วนๆ 72 ชนิด ไม่มีการ ทานผัก และ ผลไม้
เพื่อเลี่ยง น้ำตาล  วิธีการปรุงอาหารก็จะใช้วิธีการ ลวก ต้ม  เพื่อป้องกันน้ำมันส่วนเกิน ที่
มาจากการประกอบอาหาร  ให้รับประทาน รำข้าวโอ๊ต 2 ช้อนโต๊ะ หากไม่มี ให้ทาน ขนมปัง
โฮวีต 1-2 แผ่น แทนได้ ช่วงนี้ จะเป็น ช่วงที่น้ำหนักลงเร็วมาก แต่ก็มีความเข้มงวด มาก

2.Cuise Phrase ช่วงที่ 2 จะมีการเพิ่ม การทาน ผัก ผลไม้ เพิ่มขึ้นมา รวมทั้ง
แป้ง คาร์บ  โดยในช่วงที่ 2 นี้ ถือเป็นช่วงที่จะเปลี่ยน การรับ สารอาหารจาก โปรตีนจากสัตว์
มาเป็นโปรตีน ในพืชแทน โดยใน ช่วงที่ 2 นี้จะมีความเข้มข้นที่น้อยลง มีการจัดสัดสารอาหาร
ที่หลากหลายขึ้น แต่ยังคง เน้นไปทางโปรตีน เพียงแต่ เปลี่ยนเป็น โปรตีนใน พืชแทน  รวม
ทั้งให้ทาน รำข้าวโอ๊ต 2ช้อนโต๊ะ หรือถ้าไม่มี ก็ให้ทาน ขนมปัง โฮวีตแทน ได้

3.Consolidation Phrase เป็นช่วง ปรับ สารอาหารที่ได้รับ ให้มีความ เข้ม
งวดที่น้อยลง เพื่อ ปรับเข้าสู่ สารอาหาร ที่ควรได้รับ ตามปกติ ที่เราเคยได้รับมา สารอาหาร
ประเภท โปรตีน ที่เราได้รับ จะไม่จำกัด แหล่งที่มา อย่างที่เคย เป็นมาในช่วง 1 และ ช่วงที่2
รวมทั้งยัง สามารถ ทานผลไม้ และ คาร์บได้ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง 

4.Stabilizatio Phrase ช่วงนี้ แทบจะเรียกได้ว่า กลับมาทานอาหารได้เป็น
ปกติ เช่นที่เคยเป็นมา แต่ก็ยังคงจะมี 1 วัน ใน1 สัปดาห์ที่จะเน้นสารอาหาร ประเภทโปรตีน
อยู่ แต่ก็ยังคงต้องเป็น pure protein ที่มีไขมันต่ำอยู่เช่นเดิม



Dukan Diet จะมีอาหารที่สามารถทานได้อยู่ 100 ชนิด โดยจะมีเนื้อสัตว์อยู่ 72 ชนิด
ผัก 28 ชนิด ซึ่งจะเน้นไปในอาหารที่อิ่ม อยู่ท้อง โดย ห้ามอดอาหารเด็ดขาด เพื่อที่ร่างกายจะ
ได้เอาพลังงานไปใช้ได้เต็มที่

สูตรอาหาร ในแบบ Dr.Dukan เน้นอาหารที่มีเส้นใยที่น้อย ผลที่ได้คือ อาการท้องผูก
และเนื่องจาก อาหาร ที่เน้นเป็นสารอาหาร ประเภทโปรตีน ซึ่งผมเคยพูดไปในบทก่อนแล้ว
ว่า การทานโปรตีนที่มาก เป็นภาระ กับร่างกายที่ต้อง ขจัดทิ้งไป เพื่อไม่ให้เกิด ภาวะความ
เป็นกรดในร่างกาย ทำให้ขาดสารอาหาร อย่างเช่น เกลือแร่ และวิตามินได้ แต่ Dr.Dukan
ก็ให้ทานเสริมเข้าไป ซึ่ง ผมมองว่า ไม่น่าจะได้ เพราะร่างกาย เป็นกรด มันรับ สารอาหาร
พวกนี้ไม่ได้อยู่แล้ว



การ Diet แบบ Dr.Dukan นั้น ได้รับการโจมตีจากสมาคม (British Dietetic
Association) ว่า เป็นการ Diet ที่แย่ที่สุด ไม่มีความรับผิดชอบ ต่อสุขภาพ
ของผู้ปฏิบัติ อีกทั้งยังคำนึง เพียงแต่ น้ำหนักที่ลดลงโดยไม่ได้คำนึงถึง สัดส่วนของสารอาหาร
ที่จะต้องได้รับ ให้มีความครบถ้วน  และ เตือนว่าผุ้หญิง ไม่ควรทำตาม เพราะถึงแม้
น้ำหนักจะลดลงอย่างรวดเร็วก็ตาม แต่ผลที่ได้กลับมานอกจาก ความเสี่ยง ต่อ การyoyo
แล้ว ยังมีผลต่อ สุขภาพทั้งความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ  และการขาดสารอาหาร ที่จะตามมา
ในภายหลัง  ซึ่งความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ที่ว่า มากจาก การได้รับ ไขมันอิ่มตัว มาจากเนื้อแดง
เนื้อหมู เนื้อวัว ที่แอบแฝงมา โดยผู้ Diet ไม่ทราบ รวมทั้งภาวะการทำงานของไต
ที่หนักขึ้นจากการ ที่ร่างกาย ดึงเอาพลังงานจากกล้ามเนื้อมาใช้แทน ทำให้เกิดภาวะ Ketosis
และภาวะ นิ่วในถุงน้ำดี จากการที่น้ำหนัก ลงอย่างรวดเร็วอีกด้วยร่างกาย อ่อนเพลีย กล้ามเนื้อ
ลีบ เพราะน้ำหนัก ที่ลง เร็วจนเกินไป  Dukan Diet จึงเป็นสูตรที่มีความอันตราย
และไม่ผ่าน เกณ ด้านความปลอดภัย  ทำให้ Dukan Diet เป็นสูตร Diet
หนึ่งที่ควรหลีกเลี่ยง แต่ในสถานะการณ์ ความเป็นจริงแล้ว ยังมีสาวๆจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
ที่ยังคงใช้สูตรลดน้ำหนักแบบนี้ เนื่องจากผลในการลดน้ำหนักที่รวดเร็ว โดยที่ทั้งรู้ว่ามีผลเสีย
แต่มองว่า ตนเองควบคุมมันได้ อีกทั้ง ยัง ทำการโปรโมต วิธีการนี้ต่อไป ให้กับผู้อื่น ทำตาม

หากคิดว่า จะลดน้ำหนัก โดยมองแต่เพียง ตัวเลขบนตาชั่ง นั้นถือว่า เป็นวิธีที่ผิด นะครับ
ตัวเลขบนตาชั่งนั้น วัด อะไรไม่ได้เลยครับ การที่เรามีน้ำหนัก น้อย ก็ไม่ได้ความว่าเราไม่อ้วน
นะครับ หลายคนอาจจะงง ว่าผมพูดอะไร คำว่าอ้วน หรือไม่อ้วน สำหรับ นักโภชนาการ และ
ผู้ฝึกสอน  ไม่ได้มอง น้ำหนักบนตาชั่ง อาจมีคนถามว่า แล้วเค้ามองอะไร เค้ามอง Lbm,%Fat
เคยเห็นคน ผอมแล้ว ลงพุง แล้วมีท้องแขนย้วยๆ ไม๋ครับ อย่างนั้น เราเรียกว่า คนอ้วนตัวเล็ก
เราไม่เรียกว่า คนผอมนะครับ เพราะ เค้าผอมก็จริง แต่ %ไขมัน เค้ามันเยอะอยู่ เราเรียกว่า
คนอ้วนตัวเล็ก ไม่เรียกว่า คนผอม ดังนั้น เวลาจะลดน้ำหนัก หรือ ควบคุมน้ำหนัก ให้มองที่
% ไขมัน ดีกว่านะครับ

อย่าลดน้ำหนัก โดยสักแต่เอาอะไรก็ได้ออกจากร่างกายให้ตัวเบาลงเท่านั้นนะครับ
น้ำหนักตัวบนตาชั่งเบาลง แต่ รูปร่างเป็นตะเกียบ ที่มีพุง มันแย่นะครับแบบนั้น

สำหรับบทนี้ผมก็ ไปเรื่อยๆของผม ถูกบ้าง ผิดบ้าง มีส่วนใด ไม่ดีก็ติติงกันได้ ครับ หวังว่าจะมี
ประโยชน์กันนะครับ ในบทหน้าก็ยังเป็นการ Diet เช่นเดิม แต่ จะเป็น ลักษณะ การกำหนด
ช่วงเวลาในการทาน Diet แบบ FastFive Diet(Fast-5)
ขอบพระคุณครับ



วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Caveman Diet

Diet

ในบท ต่อไปนี้ เป็นการพูดถึง Diet ที่เป็นการคุมน้ำหนัก หลายๆ
แบบ ทั้งที่เคยมีการพูดกันมาแล้ว และยังไม่มีการพูดกันมาก่อน ว่า
จริงๆแล้วมันคือ อะไร ยังไงกันแน่ การควบคุมน้ำหนัก ที่ได้ผล ที่มี
คนพูดกัน หนาหู บางทีก็เป็นกระแส อยู่ในสังคม มีการนำเสนอกันตาม
หน้าเวป ว่าสูตรนี้ได้ผลดี ถูกจริตกับเรา แต่จริงๆแล้ว Diet ที่ถูกกับ
เรา ถูกจริต กับเรามันคือ แบบไหน กันแน่

ไดเอต ส่วนใหญ่หากจะมองดูแล้ว จะมีความต่างกันที่ แนวคิด การจัด
สารอาหาร  โดยหลักๆแล้ว รวมๆจะมองว่า คาร์บ คือปัญหา  โดยจะมี
การจัดสัดส่วน ของอาหารใหม่ โดย ที่ผม มองเห็น ส่วนใหญ่จะไปให้ค่า
กับโปรตีน เพราะมองว่า โปรตีน เป็นสารอาหาร ที่อยู่ท้องอิ่มนานร่างกาย
ใช้เวลา และพลังงานในการย่อย ที่นานกว่า สารอาหารอื่น ทั้งยังเป็น วัตถุ
ดิบ ในการสร้างกล้ามเนื้อ ที่มีผลต่อการ สร้างกล้ามเนื้ออีก โดย ไดเอต
ส่วนมากจะเน้นไปในทางนี้คือ จัดการ กับคาร์บ ก่อน แล้วก็ อาจจะมี
แนวคิดในการ แบ่งแยก ช่วงเวลา โดยการนำผลในการวิจัย ทางโภชนา
การมาแบ่งแยก ช่วงเวลา หรือกำหนดการทานอาหาร เป็นช่วงๆ ออกไป
แล้วกำหนดเป็นสูตร แล้วถ้าใครดังหน่อยก็จะเขียนหนังสือขาย  สรุปสูตร
ออกมา หลายคนก็ลดได้ผลตามสูตรนั้นๆ แต่ลืมไปว่า มันอันตรายแค่ไหน
มันก็เหมือนกับการ ทานยาลดน้ำหนัก ที่ไปจัดการกับ ไทรอยซ์ ทำให้
อัตราเผาผลาญเพิ่มมากขึ้น แต่ทำไปนานๆ มารู้อีกทีว่า เราสารพัดโรคเลย
ก็สายเกินกว่าจะแก้แล้ว  แต่ทั้งนี้มันจะเป็นอย่างไรบ้าง ผมก็อยากจะให้
ผู้อ่านได้ลอง วินิจฉัย ด้วยตัวเอง เพราะ หากว่า มันถูกจริต กับ คุณ และ
เป็นประโยชน์ อยากลองทำก็ตามแต่ศรัทธา  คิดแล้วผลเสียที่ได้รับ 
เรารับได้ หากมองดูแล้วหักลบกลบหนี้กันแล้ว ได้มากกว่าเสีย อยากลองทำ
ก็ไม่ว่ากัน ไม่ห้าม เพราะของอย่างนี้ แล้วแต่ จริต คน ไม่เหมือนกัน 
บางคนทำแล้วดี เราจะไปห้ามไปขวางทางบุญเขาได้อย่างไร (พูดซะ
แก่เลย )

มาเข้าเรื่องกันดีกว่าครับ

Palo Diet หรือ เราเรียกกันว่า ไอเอต ยุคหินนั้น มีชื่อเรียก
อยู่หลายชื่อ ด้วยกัน บางคนอาจจะเรียกกันว่า Caveman diet
Paleo Diet,Stone age Diet,Hunter Gatherer
Diet

แต่ที่ผมรู้สึกชอบ และ ถนัดปากจะเรียก ก็น่าจะเป็น Caveman
Diet ในรูปแบบของมนุษย์ถ้ำ เป็นรูปแบบการ ไดเอต รูปแบบหนึ่ง
ที่เป็นทางเลือก สำหรับคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก  Caveman Diet
เป็นแนวคิด ที่มีการพัฒนา โดย Walter L.Voegtlin
แต่ก็มีการแตกสูตรออกไปมากมาย กลายเป็น แนวอื่นๆ แต่เท่าที่จะ
สรุปรูปแบบการ  ไดเอต รูปแบบนี้ได้คือ จะเน้นอาหารที่มีการจำลอง
มาจากอาหารของ มนุษย์ เมื่อ 20000 ปีที่แล้วที่ยังคงมีความเป็นสัตว์
ออกล่า อาหารเอง ซึ่ง จากการทดสอบ เปรียบเทียบ อาหารที่มนุษย์ ทุก
วันนี้ ได้รับส่วนมาก จะเป็น คาร์บ และ น้ำตาล เนื่องจาก เป็นอาหาร
ที่มีราคาถูก

อาหารราคาถูก ดังเช่นที่ มีคนเคยบัญญัติ ศัพย์ ไว้ว่า "กลไกเศรษฐิกิจ
มีผลต่อ กลไก ระบบเผาผลาญของเรา " แต่ผม ขอเสริมว่า ในยุคสมัย
แห่ง จักรวรรดินิยมอาหาร ราคาถูก และ รวดเร็ว เช่นนี้ จึงเป็นที่มา
การเจ็บป่วย สารพัดโรค  แนวคิดเช่นนี้เอง จึงเป็นส่วนหนึ่งของที่มา
การไดเอต รูปแบบ Caveman

ในการทดลอง โดยดูจากการโภชนาการ ของ มนุษย์ถ้ำ เมื่อ 20000ปีก่อน
พบว่าอาหารที่มนุษย์ถ้ำได้รับ นั้น เป็นอาหารที่มี ความโดดเด่น ในเรื่อง
ของการสร้างกล้ามเนื้อ  โดยเน้นไปที่อาหาร จำพวกเนื้อสัตว์ และ ผลไม้
พืชผักต่างๆ  โดยพืชผักที่ มนุษย์ถ้ำ ทานกัน เป็นพืชผักที่หาได้ตามพื้นที่
ทั่วไป ไม่ใช่ กากพืช ที่มนุษย์ ทุกวันนี้กินกัน คำว่า กากพืชนี้ หลายคน อาจ
จะไม่เข้าใจ การที่เราทานพืช ที่ผลิต ในดินที่ไม่มีคุณภาพ ดินที่อัด ปุ๋ยเข้าไป
ก็เหมือนการกิน กากพืช กากหญ้า เท่านั้น  การทานอาหารในแบบ Cave
man นั้น จะกินอาหาร โดยดูที่ความเป็นธรรมชาติ ห่างไกลจากการปรุงแต่ง
ไม่ทานโปรตีนจากนม  รวมทั้ง ทานอาหารแค่มื้อเดียวเท่านั้นในช่วงเย็น
พอจะสรุปรูปแบบการทาน อาหาร ของ สูตร Caveman Diet ได้ดังนี้


CaveMan diet ถูก แบ่งออกเป็น ช่วงๆ 3 ช่วงด้วยกัน

ช่วงที่1
 ช่วง1-2สัปดาห์ แห่งการปรับตัว อาหารที่ทานส่วนใหญ่
จะเป็นผักผลไม้ สดๆ ไม่ทานผลไม้แปรรูป ไม่ทานของ หมักดองใดๆ
ยิ่งเป็น ผลไม้ ผักสดๆที่เก็บใหม่ๆได้ยิ่งดี โดยในช่วงเช้า หลังตื่นนอน
ใหม่ๆจะทานน้ำเปล่า แก้วใหญ่ เพื่อทำการล้างพิษ หลังจากนั้น ในช่วง
เช้าระหว่างวัน จะเป็นการอดอาหาร โดยจะเริ่มทานอาหารในช่วงเย็น
เพียงแค่มื้อเดียวเท่านั้น

ช่วงที่2
สัปดาห์ที่ 2-6 เราจะเน้นอาหารไปในทางโปรตีน ธรรมชาติ จากสัตว์
ที่ทานอาหารธรรมชาติ เราจะไม่ทานเนื้อสัตว์ ที่ทานอาหารเม็ด เราจะทาน
เฉพาะอาหารจาก ที่มาจากธรรมชาติเท่านั้น สัตว์ที่กิน ต้องกินอาหาร
ตามธรรมชาติของมัน พวกหญ้า ฟาง เราจะไม่รับสารแปลกปลอมใดๆก็ตาม จากอาหาร
ที่เราทาน เพราะสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้ เป็นที่มาของ อาการผิดปกติ ใน
มนุษย์  ในช่วงเช้า จะทานน้ำเปล่า แก้วใหญ่ ล้างพิษเช่นเดิม หลังจากนั้น
ก็อดอาหารเช่นเดิมในช่วงเช้า แล้ว ก็จะเริ่มทานอาหาร ในช่วงเย็น เพียง
มื้อเดียว โดยอาหารที่เน้นจะเป็นอาหาร จากเนื้อสัตว์  ไข่ ผลไม้ ถั่ว ไม่กิน
มันฝรั่ง ไม่ทาน โปรตีนใดๆก็ตามจากนม

ช่วงที่3
หลังจาก สัปดาห์ที่ 6 จะเป็นช่วงที่ เริ่มอยู่ตัว เราได้ทำการ ไดเอต วิธีนี้
จนรู้สึกได้ว่าเป็นธรรมชาติ ของเราไปแล้ว สูตรอาหารที่กินก็ยังเป็นเช่นเดิม
เพียงแต่ในระหว่างวัน หากหิว เราสามารถ หาเนื้อสัตว์  ปลา เมล็ดพืช
ถั่ว มาทานได้ 

ข้อดี
1.วิธีไดเอต รูปแบบ Cave นี้ จากการทดสอบ พบว่า ผู้ที่ทานอาหาร
ตามสูตรนี้ ได้รับ ไฟเบอร์ประมาณ 100 กรัม ต่อวัน มากขึ้นจาก
อัตราปกติที่ RDI กำหนดเอาไว้ว่าควรได้รับที่ 20-30 กรัมต่อวัน 
ซึ่งในชีวิต มนุษย์ปกติ นั้น จะส่วนใหญ่จะได้รับไฟเบอร์ เพียงวันละ 10
กรัม เท่านั้น เนื่องจาก ไฟเบอร์ เป็นอาหาร ที่ไม่ให้พลังงาน แถมยัง
มีกากใย ช่วยในการ ทำความสะอาดลำไส้ ป้องกัน มะเร็งในลำไส้ได้
จึงเป็นส่วนที่ดี แต่ กากใย นั้นมาจาก อะไร ก็มาจากการทาน ผักผลไม้
ที่ไม่ผ่านการดัดแปลง เราทานสด ทานเปลือกมันด้วย มันก็ได้กากใย
ตามธรรมชาติอยู่แล้ว

2.Micronutrients ซึ่ง เป็น จุลโภชนาสาร ที่มีประโยชน์
ต่อร่างกายใน อัตราที่พอเพียง อีกด้วย รวมทั้งได้รับ Phytochemicals
ซึ่งเป็นสาร เคมี ที่มีใน พืช ช่วยในการ ป้องกันโรคต่างๆ ต้านอนุมูลอิสระ
ได้อีกด้วย พืชผัก ที่ไม่ผ่านกรรมวิธีมาก ก็ย่อมได้รับ สารอาหารที่จำเป็น
มากขึ้นด้วย

3.ทำให้ระดับน้ำตาล ในเลือด เนื่องจาก เป็นการควบคุมปริมาณ อินซูลิน
ที่สมองสั่งออกมา ให้ทำการ รักษาระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อทานคาร์บน้อย
อินซูลินก็น้อยไปด้วย ทำให้ ระดับน้ำตาลในเลือดไม่สูง

4.สารอาหารที่ได้ อย่างโปรตีน สร้างกล้ามเนื้อ ทำให้ มีความแข็งแรง
และระบบเผาผลาญดีขึ้นได้ หากมองว่า กล้ามเนื้อ ทำให้ ระบบเผาผลาญ
ดีขึ้น ในมุมนี้ก็มองได้

5.ทานโปรตีนมาก โปรตีนเป็น สารอาหารที่ อยู่ท้อง ใช้พลังงานในการ
ย่อยก็นาน กว่าจะนำไปใช้ได้ ต่างจากคาร์บ ที่ย่อยเร็ว ยิ่งเป็น น้ำตาลเชิง
เดี่ยว อย่างพวกน้ำหวานอีก ยิ่งย่อยเร็วเข้าไปใหญ่

ข้อเสีย

1.การทานอาหารที่เน้น สารอาหาร ประเภท โปรตีน ที่มาก ก็เลี่ยงไม่ได้
ที่ร่างกาย เราจะมีสถานะความเป็นกรด ซึ่งร่างกายในสถาวะ ปกติ ควรมี
ความเป็นด่างเล็กๆด้วยซ้ำ การที่ร่างกายมีสภาวะ ความเป็นกรด นั้นมี
ข้อเสียคือ ร่างกายต้องขจัด กรดออกไป ไม่เช่นนั้น ร่างกายจะไม่สามารถ
รับ แร่ธาตุอย่างแคลเซี่ยมได้ ทำให้ เกิดภาวะกระดูกพรุนได้ จริงๆ ถ้า
ให้พูดมากกว่านี้คือ แม้คุณจะ ทานนม เสริมแคลเซียม ก็ไม่ได้ช่วยเลย
เพราะ การที่ นม มีโปรตีนมาก ถ้าหากเรารับ โปรตีนที่เกินกว่าร่างกาย
ได้รับ แม้ นมนั้นจะมีแคลเซียม แค่ไหน ด้วยความ ที่ แคลเซียม มีความ
เป็นด่าง มาอยู่ในสภาพความเป็นกรด ของร่างกาย ผลที่ได้คือ ร่างกายขาด
แคลเซียม ทั้งที่ กิน นม เสริมแคลเซีมแท้ๆ

2.ไตทำงานหนัก เนื่องจาก ต้องรักษา สมดุลย์ ความเป็นกรด ด่างในร่างกาย
โปรตีน เป็นสารอาหารที่มีความเป็น กรด เพราะมีไนโตรเจนสูง ร่างกายต้อง
ขจัดออก โดยการเปลี่ยนเป็นกรด ยูริก ขับถ่ายออกมาทางปัสสาวะ แต่ถ้าเรา
อยู่ในสภาวะความ เป็นกรด นานๆ จากการทานโปรตีน ผลที่ได้คือ ไตทำงาน
หนักอยางต่อเนื่อง โดยที่เราไม่รู้ตัวเลย ไตทำงานหนัก อันตรายนะ เราไม่ควร
ไปโหลดภาระ เพิ่มให้กับไต โดยไม่จำเป็น เพราะปกติ ไตก็ทำงานหนักอยู่แล้ว

3.การที่จำกัด คาร์บ ทำให้ระดับ น้ำตาลในเลือดต่ำ สมองรับรู้ ได้ช้ากว่า
ความเป็นจริง พอสมองรับรู้ว่า น้ำตาลในเลือดต่ำ มันก็จะหิวตลอดเวลา

4.การทานอาหาร แค่มื้อเดียว ในชีวิตประจำวันที่เราต้องทำงานกันตลอดทั้งวัน
เป็นไปได้ยาก เราไม่ได้ กลับบ้านแล้ว นอนเลยเหมือนสมัยก่อน ที่ มนุษย์
ออกล่าสัตว์ แล้วเข้าถ้ำนอนได้เลย เราต้องกลับมาทำงาน ทำการบ้าน เลี้ยง
ลูก ต้องใช้แรงต่อไปอีก ทั้งเช้า ทั้งเย็น การอดอาหารเช้าแล้วเรายังต้องโหน
รถเมล์ ดีหน่อย ก็ ขับรถเอง แต่ก็ต้องไปรถติด หงุดหงิดอีก หิวอีก ไหวเหรอครับ
ที่จะทานอาหาร มื้อเย็นมื้อเดียวแบบนี้

5. การทานอาหารมื้อเดียว มากๆทีเดียว ที่แทบจะเรียกได้ว่า อัดกันเข้าไป
มันมีผลให้ กระเพาะ ทำงานหนักกว่าปกติ ที่กระเพาะ จะทำงาน เพียงแค่
30 %ของความจุที่มันทำได้ ต้องมาทำงานหนัก ต้องมาขยายตัว กว่า 70 %
ทำให้เกิดอาการ คลาด ของกระเพาะ โดยไม่จำเป็นอีกด้วย

6.อาหารที่บริสุทธิ์ เพียวจริๆง ไม่ผ่านกระบวนการใดๆเลย สำหรับคนใน
ชนบท อาจจะพอหาได้ แต่ถ้าคุณทำงานในเมือง มันยาก แม้ว่าในห้างสรรพ
สินค้าจะมี ให้เลือก แต่ก็แพง แล้วก็ไม่รู้ เพียว จริงรึเปล่า  เนื้อสัตว์ ก็ต้อง
มาจากสัตว์ ที่ไม่กินอาหารเม็ด ไม่มีการฉีดฮอโมนส์ เพราะเราไม่อยาก
ได้ส่วนเกิน พวกนี้มาด้วย ในความเป็นจริงทำยาก เว้นแต่ จะทำสวน ทำ
ไร่ ทำฟาร์มเอง ฆ่าหมู ฆ่าวัวกินเอง

7.มนุษย์ในปัจจุบัน ไม่ได้ต้องการ โปรตีน เพื่อไปพัฒนากล้ามเนื้อมาก
เหมือนสมัย ดึกดำบรรพย์ เราต้องการ สมอง ต้องการ พลังงาน สมองมากว่า
แล้วเราทาน คาร์บ น้อยๆ อาหารเช้าก็อดอีก สมองมันจะทำงานดีได้ยังไง
ไปทำงานก็สมอง ทึบๆไป ใครทักก็ งงๆ  คือ เราจะเอากล้ามเนื้อ ขนาดนั้น
ไปทำไม ในเมื่อเราไม่ได้ ไปล่าสัตว์ อีกแล้ว

8.การทานโปรตีนมาก ร่างกายก็ต้อง เหนื่อยในการย่อยมาก เพราะโปรตีน
ใช้พลังงานในการย่อยสูง การทานโปรตีน ไม่ควรเกิน 3.3 กรัมต่อน้ำหนัก
ตัว 1 กิโลกรัม ไม่งั้นร่างกายอาจจะมีสภาวะ อาการเหนื่อยล้า อ่อนเพลียได้
เพราะปกติ มนุษย์เราจะได้รับโปรตีนไม่เกิน ความต้องการร่างกายแน่ๆ
แต่หากเน้นโปรตีนมาก มันก็เป็นอีกเรื่องนึง ที่อาจจะเกินได้
 

สรุป
ผมเคยได้ยิน หลายคน เน้นว่า หลายคน ที่ ไดเอต วิธี นี้ แล้วบอกว่าดี
ร่างกายดี แข็งแรง  ซึ่งผมก็เชื่อว่า อาจจะเป็นได้จริง เพียงแต่ ขอให้ ทำ
การ diet เพื่อเป็นทางเลือกเท่านั้น ทำแค่ช่วงสั้นๆ ไม่ทำต่อเนื่อง
จนนานเกินไป  โดยถ้าต้องการจะทำจริงๆ ควรทำการ ดัดแปลง สูตร
ไดเอต นี้ใหม่ เป็นแบบ ที่เป็นไปได้จริงๆ เพราะตัวจริงของสูตร Cave
man Diet ก็ผ่านการดัดแปลง แตกสูตร มาหลายครั้งแล้ว บางที
สูตรที่ คุณ คิด และ ดัดแปลงเอง อาจจะดีกับคุณก็ได้  แต่ทั้งนี้ ก็ขอให้ทำ
ในระดับที่ พอเพียง หากลดได้แล้ว ก็ขอให้ กลับมาทานอาหาร แบบปกติ
ที่่ร่างกายควรจะได้รับ เพราะเราไม่ใช่ มนุษย์ ถ้ำอีกแล้ว เราไม่อาจทาน
อาหาร และสารอาหาร แบบ เมื่อ 20000 ปีก่อนได้  เราห่างจากความเป็น
สัตว์มามากแล้ว เราไม่ได้ต้องการ กล้ามเนื้อ ขนาดนั้น เราต้องการใช้สมอง
ในการทำงานมากกว่า


 ฝากไว้เพียงเท่านี้ครับ ในบทต่อไป ผมจะพูดถึง การ Diet ที่เคยพูด
ถึงกันมาช่วงหนึ่ง  นั่นคือ Dukan Diet ว่ามันคืออะไร มีประโยชน์
อะไรยังไง โทษ มียังไง สำหรับบทนี้ หากมีส่วนใด ผิดพลาดประการใด
ก็ขอน้อมรับไว้แต่ผู้เดียว เนื่องจาก ผมไม่เคยใช้สูตร ไดเอต นี้ มาก่อน
เป็นแค่เพียงข้อมูลและ ทัศนะ ส่วนตัว  ขอบพระคุณครับ



วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

โปรตีน ไขมัน คาร์บ ATkins Diet

สารอาหาร หรือ หมวดหมู่ของอาหาร ที่เราทานกัน ในทุกวัน
สามารถที่จะแบ่ง ออกมาเป็น หมวดหมู่ได้ 5 หมู่ แต่ที่เรา
จะมาพูดถึงกันในบทนี้ เราจะพูดถึง เพียง 3 หมวดหมู่เท่านั้น
คือ
1. โปรตีน 2.คาร์โบไฮเดรต 3.ไขมัน

ถามว่าทำไม ก็เพราะ สารอาหาร ทั้ง 3 ชนิดนี้ เป็นสารอาหาร
ที่ล้วนแต่ให้พลังงาน กับเรา  ขอให้นึกไว้ว่า สารอาหารที่ได้รับ
เรารับเกินไม่เป็นไร แต่ อย่าให้เกินในส่วนของ พลังงานที่ได้รับ
ต่อวัน

DRI(Daily Reference Intake)คือ
ปริมาณสารอาหารที่เราควรได้รับต่อวัน เพื่อให้มีสุขภาพ
ที่ดี ทั้งนี้ ค่า DRI จะขึ้นอยู่กับ อายุ ขนาดร่างกาย รวมทั้ง
ส่วนประกอบของร่างกาย ซึ่งในความเป็นจริง มีตัวแปรมากมาย
แต่เราก็อาจจะ คำนวณคร่าวๆได้ จากสูตร ของHoliday
Segar โดยมีหลักการคิด ดังนี้
น้ำหนัก 10 กิโลแรก  = 100 kcalต่อน้ำหนักตัว1 กิโลกรัม ต่อวัน
น้ำหนัก 10 กิโลกรัม ต่อมา =50 kcal ต่อน้ำหนักตัว1กิโลกรัม ต่อวัน
น้ำหนักที่เหลือ  = 20 -30 kcal ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อวัน

เช่น หากมีน้ำหนักตัว 73
น้ำหนักตัว 10 กิโลแรก = 10x100 = 1000 kcalต่อวัน
น้ำหนักตัว 10 กิโล ถัดมา = 10 x 500 = 500 kcal ต่อวัน
น้ำหนักตัว ที่เหลือ อีก 53 กิโล ถัดมา = 53 x 20 = 1060 kcal ต่อวัน
สรุปได้ว่า พลังงาน ที่ควรได้รับต่อวัน เพื่อให้ ร่างกายทำงานได้อย่างปกติ
= 1000+500+1060 = 2560 ซึ่งค่า DRI อันนี้เป็นค่าประมาณการ์ณ
คร่าวๆ สารอาหารที่ควรได้รับต่อวัน เพื่อให้สุขภาพดี จะแตกต่างจากการ
คำนวณ ในบทที่แล้ว แต่ก็สามารถนำมา คำนวณคร่าวๆได้เช่นกัน

สารอาหาร ในที่นี้ เราจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ที่ให้พลังงาน
คือ 1.โปรตีน 2.ไขมัน 3. คาร์โบไฮเดรต

โปรตีน ถือเป็นสารอาหาร ชนิดหนึ่ง ที่ร่างกายสามารถนำมาใช้
เป็นพลังงานได้ แต่ เพื่อผล ในการ ควบคุมน้ำหนัก และ การเวท
เทรนนิ่ง เราจะให้ถือว่า โปรตีน เป็นวัตถุดิบใน การ สร้างกล้ามเนื้อ

โปรตีน ถือเป็น สารอาหารที่มีผล ต่อการ ลดน้ำหนักมาก ในคนที่ต้องการ
ควบคุมอาหาร ลดน้ำหนักเนื่องจาก กระบวนการในการลดน้ำหนัก
และการ ออกกำลังกาย เป็นกระบวนการที่ทำให้ เราต้องสูญเสีย มวลกล้ามเนื้อ
ไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ โปรตีน เป็นสารอาหาร ที่ ช่วยในการซ่อมแซม สร้าง
กล้ามเนื้อ ให้คงอยู่ หลายคนอาจจะ ถามว่า แล้ว โปรตีน จะช่วยลดน้ำหนักได้ยังไง
คำตอบคือ การที่ โปรตีน เป็นสารอาหาร ที่ รักษามวลกล้ามเนื้อ เอาไว้ จึง ถือได้ว่า
เป็นสารอาหาร ที่รักษาสมดุลย์ ของ การเผาผลาญด้วยเช่นกัน

ในผู้ที่ลดน้ำหนัก มักจะลด พลังงานที่ได้รับไปในแต่ละวัน แต่ให้นึกไว้ว่า จะต้อง
ทานโปรตีน มากกว่าในคนปกติ หมายความว่า คุณอาจจะ ทำการ ควบคุมอาหาร
โดยการ ลดพลังงานที่ได้รับในแต่ละวัน  คุณอาจจะไปลด ในส่วนของ ไขมัน
และ คาร์บ ลง ก็จริง แต่ ควรจะรับ สารอาหาร ประเภทโปรตีน มากกว่า เดิม
เหตุผล คือ เพื่อ รักษา กล้ามเนื้อ ไว้ ลด สารอาหารตัวอื่น แต่ ไปเพิ่ม โปรตีน
เพราะโปรตีน ช่วยรักษา อัตราเผาผลาญได้

นอกจากนั้น โปรตีน ยังเป็นสารอาหาร ที่ใช้เวลาในการดูดซึม ที่นานกว่า คาร์บ
จึงทำให้เรารู้สึก อิ่ม กว่า คาร์บ เนื่องจาก กว่าที่โปรตีนจะย่อยจนหมด สมองของเรา
ก็สามารถรับรู้ได้แล้วว่า อิ่ม เหตุผลหนึ่ง ที่ คนกิน น้ำตาล และแป้ง อ้วนง่าย เพราะ
สมองรับรู้ ได้ช้า เนื่องจาก คาร์บ ดูดซึมเร็ว  กว่าเราจะรู้สึกอิ่ม เราก็ ทานจนเกินความ
ต้องการของร่างกายแล้ว ดังนั้น ผมจึงมองว่า การดูดซึม และความรับรู้ ที่เร็ว และช้า
ของสมอง ที่จะสั่งการ ว่าอิ่ม แล้ว หรือยังไม่อิ่ม มีความสำคัญต่อการลดน้ำหนักมาก
สำหรับในคนที่ต้องการลดน้ำหนัก แนะนำให้ทาน โปรตีน 1.8-2.2 กรัม ต่อน้ำหนักตัว
1กิโลกรัม  แต่เนื่องจาก โปรตีน เป็นสารอาหารที่ร่างกาย ใช้เวลาในการย่อยนาน
 และ ใช้พลังงานที่มากในการย่อยจึงไม่ควร ทานเกิน 3.3 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
เพราะ จะทำให้ร่างกาย รู้สึก เหนื่อยได้

ร่างกายของเรานั้น จะนำ โปรตีน ไปใช้ในการสร้าง
กล้ามเนื้อก็จริง แต่ ร่างกาย ไม่ได้มีความต้องการ สารอาหาร
ชนิดนี้อยู่ตลอดเวลา  ดังนั้น ควรจะทานในประมาณ ที่น้อย เรื่อยๆ
โดยอาจจะแบ่งเป็นมื้ออาหาร  ย่อยๆ6 มื้้อแล้วทาน เป็นมื้อเล็กๆ
เพื่อที่ร่างกายจะได้ดูดซึมไปใช้ประโยชน์ ได้ในเวลาที่ต้องการ
ร่างกายจะมีความต้องการ โปรตีน มากหลังจากที่เรา เล่นเวท จึง
ถือเป็นช่วงเวลาที่ดี ที่เราจะทานสารอาหาร ประโภท นี้เพื่อ
เสริมสร้างกล้ามเนื้อ

สำหรับในรายละเอียดแล้ว โปรตีน ถือเป็น กรดอะมิโน ที่รวมตัว
เข้ากับ ไนโตรเจน แบ่งเป็น กรดอะมิโนที่จำเป็น และไม่จำเป็น
สำหรับ กรดอะมิโนที่จำเป็น คือ กรด อะมิโนที่ร่างกาย ไม่อาจสร้างเองได้
และ กรดอะมิโน ที่ไม่จำเป็น คือ ร่างกายสามารถสร้างได้ ซึ่งผม
จะไม่ลงลึกไปกว่านี้ เพราะ มันเป็นรายละเอียดที่ปลีกย่อยมาก

สารอาหารต่อมาที่จะพูดถึง คือ

คาร์บ เป็นสารอาหารที่มีความจำเป็น ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่า
เป็นพลังงาน หลักของ ร่างกายเรา ทีเดียว แต่ก็มีการพูดถึง การไดเอท
แบบที่เรียกว่า Atkins Diet อยู่เหมือนกัน ซึ่ง ก็คือ
การเลือกทานปริมาณสารอาหาร บางชนิด แทนการ ทานคาร์บ
อย่างเช่นการทาน เนื้อ แทน การทานแป้ง  ซึ่งสำหรับผมแล้ว
มองว่า เป็นสิ่งที่อันตราย เนื่องจาก ผมเคยปฏิบัติมาแล้ว มันทำให้
หงุดหงิด แล้วก็ ในระยะ 1 สัปดาห์แรก จะรู้สึกไม่มีเรี่ยวแรงเลยทีเดียว
ซึ่งผมเคยทำอยู่ เดือนกว่าๆ ก็ได้ผลที่ดีมาก  น้ำหนักลง อย่างเร็วมาก
ลงเป็นสิบๆกิโล มันมากจนน่าตกใจเลยทีเดียว แต่สำหรับผม จากที่ศึกษามา
มองว่าเป็นวิธีที่อันตรายเนื่องจากว่า การ เลิกทานคาร์บ จะทำให้ ร่างกายไปเผาผลา
เอากับ ไกลโคเจนในร่างกายแทน การเผาผลาญจาก คาร์บ และ ไขมัน
ทำให้ ระบบเผาผลาญต่ำลงได้แต่ในบทนี้ ผมก็ขอเสนอ บทความโดย รอบด้าน
โดย จะบอกถึง งานวิจัย ของ ชิ้นหนึ่งของมหาลัยstan ford ที่ทำการวิจัย
เปรียบ เทียบ การลดน้ำหนักด้วยวิธีการ กำหนดสัดส่วน
ของสารอาหาร เป็นแบบต่างๆ เช่น
แบบที่1 ทานคาร์บ น้อยกว่าสูตร ATkins Diet
แบบที่2 ลดปริมาณการทาน ไขมัน แต่ไปเพิ่มการทาน คาร์บ
แบบที่3 เพิ่มปริมาณการทาน คาร์บ
ซึ่งผลที่ได้จากการ วิจัย ปรากฏว่า ATkins Diet ลดน้ำหนักดีกว่า แบบอื่น ๆคือไวกว่า
ซึ่งส่วนตัว ผมมองว่า ATkins Diet ทำให้ น้ำหนักลงเร็วก็จริง แต่ก็ร่างกายเหลว
และก็ไม่แข็งแรง อีกทั้ง การ ลดคาร์บ มากๆ แล้วออกกำลังกาย ยังอาจทำให้ เกิดการสลาย
กรดยูริกในกระแสเลือดเพิ่มมากขึ้น จนเกิดโรคเก๋า ได้ และยังอาจมีผลต่อ ต่างกายคือ โรคไต
และโรคหัวใจได้

สรุป คือ ผมมอง โดยส่วนตัวว่า ATkins Diet ลดน้ำหนัก ได้เร็วกว่า วิธีการอื่น
การงดทาน คาร์บ อาจจะทำให้ น้ำหนักตัว ลงได้เร็ว แต่มีผลต่อสุขภาพ เพราะผมเคยลองแล้ว
มันเร็วจริงๆ แต่ช่วงที่น้ำหนักลง สุขภาพไม่ดีเลย ป่วยบ่อยมาก ร่างกายอ่อนแอ มาก ซึ่งวิธีนี้ผมเคยทำถึง 2 ครั้ง ครั้งสุดท้ายที่ทำ 3เดือนกว่า ผอมจนตัวลีบทีเดียว แต่รู้สึกว่าตัวเองอ่อนแออมากเวลาทำงาน จะรู้สึก เวียนหัว เหมือนอาการ บ้านหมุนตลอดเวลา  ไม่แนะนำให้ทำเพราะการคาดหวังแต่ น้ำหนักตัวที่ลดลง โดยไม่ได้คิดถึงสุขภาพ โดยรวม นั้น มันได้ไม่คุ้มเสียจริงๆ

นอกเรื่องมาไกล แล้ว ต่อไป จะเป็นการพูดถึง คาร์บ กันจริงๆ ซักที

คาร์บ คือสารอาหารที่ ให้พลังงานแก่ร่างกาย หากร่างกาย ขาด คาร์บ ไปร่างกายจะไป เอา
ไกลโคเจนมาเป็นพลังงานแทน โดยระบบนี้ เราจะเรียกกันว่า Gluconeogenesis
ซึ่งระบบนี้ เป็นระบบ การรักษาระดับน้ำตาล ในเลือด หากว่า ร่างกายขาด คาร์บ ร่างกายก็จะ
เข้าสู่ระบบ Gluconeogenesis  ซึ่ง ร่างกายจะนำเอา ไกลโคเจน ในกล้ามเนื้อ หรือ
ไตรกลีเซอไลน์ ( ไขมันที่เก็บในร่างกาย ที่อยู่ในเซลล์ ) ออกมาเป็นพลังงาน

 Gluconeogenesis

1.ไพรเวท แลคเตท การเปลี่ยน ไกลโคเจน ( คาร์บที่เปลี่ยนรูป ไปสะสมอยู่ในกล้ามเนื้อ )โดยจะสะสม
อยู่2แห่ง คือ ในกล้ามเนื้อประมาณ 400 kcal  ในตับประมาณ 100kcal แต่ เราก็สามารถเพิ่มความจุใน
การสะสม ไกลโคเจน ในกล้ามเนื้อได้ สูงสุดถึง 2000kcal โดยการ ออกกำลังกาย ทำใหกล้ามเนื้อ
ผลิตพลังงานได้มากขึ้นด้วย ด้วยการ ออกกำลังกาย

2.กลีเซอรอล เป็นกระบวนการ สลายไขมัน เป็นพลังงาน  แต่กระบวนการเปลี่ยนไขมัน เป็นพลังงาน
จะมีผลกระทบ เนื่องจาก การเผาผลาญไขมัน แบบนี้ใช้เวลานาน และยังเกิด  ketoneBodies ทำให้เลือดมีสถาวะเป็น กรด  ที่เรียกกันว่า ภาวะ ketosis

โปรตีน เมื่อเข้าสู่ร่างกาย จะถูกย่อยสลาย เป็น Glucose (กลูโคส)
และถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ถ้าหากว่า ร่างกายเรามี
ปริมาณของ กลูโคสมากๆ จนเหลือใช้ ก็จะ ถูกสะสมไปเป็น
Glycogen (ไกลโคเจน) ในตับ และกล้ามเนื้อ แต่หากว่าเก็บใน
รูป ไกลโคเจน จนเต็มที่แล้ว ก็จะ ถูกเก็บในรูปของ Fatty Acids
หรือ กรดไขมันนั่นเอง ซึ่งเป็นที่มาของ การทาน คาร์บ แล้วอ้วน เนื่องจาก
กรดไขมันจะไป เก็บในเนื้อเยื่อไขมัน เพราะมีพื้นที่เก็บมาก และเก็บได้
อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

แต่ทั้งนี้ คาร์บ ยังมี อีกรูปแบบ ซึ่ง จะไม่ให้พลังงาน แก่ร่างกาย เราจะเรียก
คาร์บ ลักษณะนี้ว่า ไฟเบอร์  เนื่องจากร่างกาย คนเรา ไม่มีเอนไซส์
ที่จะย่อย ไฟเบอร์ ได้ ไฟเบอร์ จึงไม่อาจเปลี่นเป็นพลังงาน สะสมในร่างกายได้
แต่จะมีหน้าที่ ทำความสะอาด ลำไส้แทน

ปริมาณ คาร์บ ควรอยู่ที่ 45-65 %ของอาหารที่ทานทั้งวัน ควรทานคาร์บไม่ให้ต่ำกว่า
130 กรัม ต่อวัน เพื่อป้องกันการเกิดภาวะ เลือดเป็นกรด


สารอาหารตัวที่ 3 คือ ไขมัน
ความต้องการ ไขมัน ต่อวัน ตามที่ DRI กำหนด
อยู่ที่ 20-35 % ของปริมาณแคลอรี่ ที่ต้องการในแต่
ละวัน แต่ไขมัน ต้องเป็นไขมันที่มีกรดไขมันที่จำเป็น
(Essential Fattyacid)
โดยมีประมาณกรดไขมัน โอเมกา 3 และ โอเมกา 3
ในสัดส่วนที่เหมาะสม  สรุปควรเป็นไขมันที่ดีต่อสุขภาพ

วิธี คำนวณ ประมาณ ไขมันที่ ควรได้รับ ต่อวัน

สมมุติ คุณ คำนวณ เป้าหมาย แคลลอรี่ ไว้ที่
วันหนึ่ง  1500 แคลลอรี่ จากความต้องการไขมัน
 วันละ 20-35 % ดังนั้น คุณควรได้รับ ไขมัน
ขั้นต่ำ 1500 คูณ 0.20 = 300แคลลอรี่ต่อวัน หรือ
มากสุด ไม่เกิน 1500 คูณ 0.35 = 525 กรัมต่อวัน

จากนั้นก็ค่อยมาแปลง จำนวนกรัม เป็นไขมัน
ที่ทาน ซึ่ง 1 กรัมให้พลังงาน 9 แคลลอรี่
ก็จะได้การคำนวณ ดังนี้คือ  300ถึง525 แคลลอรี่ต่อ
วัน = 300 เอาไป หารกับ 9 = 33.3 กรัมต่อวัน
หรือ 525 หาร 9 =58.3 กรัมต่อวัน


ไขมันดี ช่วยสร้างฮอร์โมน

ถ้าไขมันที่ดี  หรือ กรดไขมัน จำเป็น มีน้อย ก็จะทำให้
การสร้างฮอโมนเทสโทสเทอโรน ลดลง ท้งใน
ชาย และ หญิง ทำให้เกิดการสูญเสีย มวลกล้ามเนื้อ
ได้ง่าย  ลดน้ำหนักลงได้ยากขึ้น  และจะเกิด
ปัญหาอื่นๆตามมาอีกมาก  แต่ทั้งนี้หมายถึง ไขมันดีต่อสุข
ภาพเท่านั้น

มีการศึกษามาแล้วว่า ชายที่ได้รับไขมัน ที่ดี ต่อสุข
ภาพที่น้อยกว่า 20% ของแคลลอรี่ที่ต้องได้รับ
ต่อวัน ทำให้ระดับ ฮอโมน เทสโทสเทอโรน ลดลง
กว่า ชายที่ได้รับ ไขมันดี 40%

มีงานวิจัย ที่ตีพิมพ์ใน Journal of Clinical
Endocrinology & Metabolism ได้
ทำการติดตาม กลุ่มชาย ผิวขาว ที่เปลี่ยนจากากรทานไขมัน
30% เป็น แค่ 15% ของแคลลอรี่ทั้งหมด  ผ่านไป
8 สัปดาห์ พบว่า มีฮอโมน Testorsterone ซึ่งเป็นฮอ
โมนเพศชาย มีระดับ ลดลง 12% นอกจากนี้ การได้รับไขมัน
ที่ดีต่อสุขภาพน้อยเกินไป ยังทำให้ estradiol
และ Testorsterone ในหญิงลดลงด้วย

Testorsterone เป็น ฮอโมน เพศชาย ที่มีในทั้งผู้ชาย
และหญิง ซึงตัว ฮอโมน ตัวนี้ เป็น ฮอโมน ที่ทำให้ผู้ชาย
สามารถมีกล้ามเนื้อ ที่แข็งแรงได้ ในเพศหญิง จะมีฮอโมน
ที่เรียกว่า เอสโตร เจน  ซึ่งเป็นฮอโมนที่ แสดงลักษณะ
ทางเพศหญิง คือ จะมีผิวที่เนียน และ เนื้อตัวนุ่มนิ่ม อีกทั้ง
ตัวฮอโมน เอสโตรเจน ในหญิง ยังเป็นตัว สะสม ไขมัน
เนื่องจาก ใช้ในการ ตั้งครรภ์อีกด้วย ซึ่งถ้าหาก ผู้ชาย
หรือผู้หญิง ต้องสูญเสีย ฮอโมน Testorsterone ไปก็
หมายถึง การสะสมไขมัน ที่จะมีมากขึ้น ทำให้ อ้วนได้ง่าย
ดังนั้น การทาน ไขมัน เพื่อให้ ร่างกายรักษา Testorsterone
ไว้จึงมีผลในทางลดน้ำหนัก รักษากล้ามเนื้อ ด้วยเช่นกัน

การลดลงของฮอโมนเทสโทสเทอโรน ในชาย
ส่งผลให้เกิด ภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพ ความแข็งแรง
ลดลง เสื่อมสมรรถภาพ  สูญเสียมวลกล้ามเนื้อ และ
เปอร์เซ็นไขมันเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่า ในหญิงมีระดับ
เทสโทสเทอร์โรน ที่น้อยกว่าชาย อยู่แล้ว ก็ยิ่งทำให้
น้อยลงไปอีก ซึ่งจะส่งผลให้เสื่อมสมรรถภาพ มีปัญหา
ทางสุขภาพจิตร และน้ำหนักขึ้นได้ง่าย

ไขมันดี ช่วยสร้าง วิตามิน
a d e k สามารถละลาย ได้ในไขมันเท่านั้น
หากมีไขมันจำเป็น ที่้น้อยเกินไป อาจทำให้
ร่างกายขาดวิตามิน เพราะไม่สามารถ ดูดซึม วิตามิน
นั้นได้  แต่ต้องเป็นไขมันดีเท่านั้น

กินไขมันไม่ควรเกิน 30 %
ถึงแม้ว่า ไขมันจะจำเป็นต่อร่างกาย แต่อย่าลืม เหลือ
ที่ไว้ให้โปรตีน กับ คาร์โบไฮเดรต ในสัดส่วน ที่
เหมาะสมด้วย  สัดสส่วนสารอาหารที่ควรได้รับ ดังนั้น
ควรได้รับไขมันชนิดที่ดีต่อสุขภาพ ไม่เกิน  30%
ของ แคลลอรี่ทั้งหมด ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้ ลดน้ำหนัก
อย่างมีสุขภาพดี

ควรเลี่ยง ไขมัน ทรานส์

ไขมัน ทรานส์

ตามปกติ ที่เราเคยเรียนรู้กันมาคือ ควรทานกรดไขมัน
ไม่อิ่มตัว แต่ให้เลี่ยงกรดไขมัน อิ่มตัว ( ยังเป็นที่ถก
เถียงกันในแวดวงสุขำาพ เกี่ยวกับ น้ำมันมะพร้าวที่
มีกรดไขมันอิ่มตัวที่สูง แต่ดี ต่อสุขภาพ)

ไขมันทรานส์  มีทั้งที่เกิดจาก กระบวนการทาง ธรรม
ชาติ และเกิดจาก การแปรรูป โดย มนุษย์

ไขมันทรานส์ ที่เกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติ พบได้
ในเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์ นม แต่มีในปริมาณที่น้อย
มาก และยังไม่มีข้อสรุปว่า ไขมัน ทรานส์ที่เกิดจาก
การกระบวนการทางธรรมชาติ จะเลวร้ายเหมมือนไขมัน
ทรานส์ที่เกิดจาก การแปรรูป

ไขมันทรานส์ แปรรูป มักพบใน พิซซ่า เบเกอร์รี่
ขนมขบเคี้ยว โดนัท พาย คุกกี้ แคร็กเกอร์ ครีมเทียม
วิปปิ้งครีม มาการีน ร้านอาหาร ฟาสท์ฟู้ด ต่างๆของ
ทอดต่างๆ เพราะว่าไขมัน ทรานส์ สามารถ ทอดซ้ำๆ
กันได้ โดยไม่ทำให้น้ำมัน เปลี่ยนสี ร้าน ฟาสฟู้ดก็เลย
ใช้น้ำมันประเภทนี้

ไขมันทรานส์ เป็นไขมันที่เกิดจาก กรดไขมัน ไม่อิ่ม
ตัว ที่แปรรูปทางเคมี โดยการเติม ไฮโดรเจนลงไป
เพื่อเปลี่ยนสภาพให้เป็นน้ำมันที่ จากเดิม เหลวๆ เป็น
หืน ง่าย ให้มีความแข็ง หรือกึ่งแข็งกึ่งเหลว  จุดประสงค
หลักเพื่อรักษาสภาพ ถนอมอาหาร เก็บ รักษาได้นาน
ไม่เหม็นหืน ไม่เป็นไข ทนความร้อนสูง ราคาถูก เช่นการ
ทำเนยเทียม

ไขมันทรานส์ ส่งผลต่อสุขภาพอย่างไร
ไขมัน ชนิดนี้ เป็นปัจจัย สำคัญที่ทำให้เกิด โรคหลอด
เลือดหัวใจ เพราะมันจะไปเพิ่มไขมันร้าย LDL และ
จะไปลด ไขมันดี HDL รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงต่อโรค
เบาหวานอีกด้วย

ไขมันทรานส์ ย่อยสลายได้ายากกว่าไขมันชนิดอื่น
ทำให้ตับต้องใช้วิธี สลายไขมันทรานส์ ด้วยวิธีที่ต่าง
จากปกติ  ซึ่งก่อให้เกิดความผิดปกติ คือ น้ำหนักตัว
เพิ่มขึ้น ไขมันส่วนเกิดเพิ่มขึ้น ตับผิดปกติ เสี่ยงโรคเบาหวาน
ความดันสูง หัวใจขาดเลือด หลอดเลือดหัวใจตีบ
ไขมัน อุดตัน

จึงมีการออกกฏหมาย ให้ฉลากอาหาร ต้องระบุ ปริมาณ
ไขมันทรานส์ ด้วย โดย AHA หรือ american
heart association ได้กำหนดการ
บริโภค ไขมันต่อวัน ดังนี้
ไขมันรวม Total fat ให้ไม่เกิน 56 78
กรัมต่อวัน
ไขมันอิ่มตัว ไม่เกิน 16 กรัม ต่อวัน
ไขมันทรานส์ ไม่เกิน2 กรัมต่อวัน หรือ1%
โคเลสเตอรอล ไมเกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน ( เมื่อ
เทียบกับการบริโภค 2000 แคลลอรี่ต่อวัน )

ซึ่งหมายความว่า ถ้าเรา บริโภค 1500แคลลอรี่
ต่อวัน ค่าสูงสุดของการบริโภค ไขมัน ก็ต้องต่ำลงไป
ด้วยเช่นกัน

สรุปได้ว่า อาหารที่มีไขมันสูง
อาหารที่มีไขมันทรานส์สูง ได้แก่ โดนัท เค้ก พายทูน่า
บราวนี่ ขนมปังไส้กรอก เวเฟอร์ เพราะมีส่วนประกอบ
ของเนย มาการีน  และ ไขมันปาล์ม ส่วนขนมไทย
ใช้แป้ง และน้ำตาล จึงมี ไขมันทรานส์ต่ำ

อาหารที่มีไขมันรวมสูง และไขมัน อิ่มตัวสูง แต่ไขมัน
ทรานส์ไม่สูงมากเท่ากลุ่มแรก จะเป็นพวกขนามที่ใช้
น้ำมันปาล็ม เชน ข้าวโพด ขนมขาไก่ ขนมปังทาเนย
ขนามโสมนัส คุกกี้สอดไส้ครีม คุกกี้เนย แคร็กเกอร์สอด
ไส้ครีม บราวนี่ พายกรอบ ขนมเกลียว ถั่วทอด


ในบทนี้ อาจจะเป็นอะไรที่ยาวยืด มีทั้งที่ควรรู้ และที่ดูเหมือน รกๆ บ้าง ผมเขียนไป พิมพ์ไป ก็ยาวไปเรื่อยๆ แต่ก็อยากให้จบใน บทเดียว หากมีข้อผิดพลาด ประการใด ก็ขออภัย ข้อมูลอันใด ผิดพลาด ก็พร้อมที่จะแก้ไขครับ (ผมไม่ดื้อ) เพราะ ผมเชื่อว่า คนที่เก่งกว่าผมก็ยังมีอีกมาก ความรู้ เป็นสิ่งที่ เผยแพร่กันได้ ไม่มีใครรู้มากที่สุด รู้ดีที่สุด มีอะไรผิดพลาด ก็พร้อมแก้ไข ในทุกกรณี แต่อย่าผิดเป็นดีที่สุด ... มั้ง