วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558

เตียซำฮง และ วิชาลมปราณ กับหลักการทางวิทยาศาสตร์

เนื้อเรื่องบทนี้เป็น บทพิเศษจากความรู้เข้าใจส่วนตัวของผมที่ผ่านมาเกี่ยวกับ เรื่องลมหายใจ และกำลังภายใน อาจจะมีบางส่วนที่ที่ฟังดูประหลาดหูไปบ้าง หากแต่เป็นการลำดับความมาจากการอ่าน และรับฟังมาจากผู้รู้อีกทีนึง                                

สำหรับเรื่องของลมหายใจ มีการพูดกันถึง วิชาลมปราณ ซึ่งในที่นี้มีความหมายถึงการใช้ลมหายใจลมให้เกิดกำลังขึ้นภายใน ผมไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ ที่บัญญัติ คำนี้ขึ้นมา เพราะมันเป็นความหมายที่บ่งบอกคุณลักษณะที่แท้จริง ของกำลัง ที่เกิดจาก การรวมลมหายใจ และ สมาธิ เพื่อกำกับ ลมหายใจ เพื่อกักเก็บลมหายใจไว้ในกาย ซึ่ง ก่อให้ เกิด พลัง(ชี่) และพลัง (จิง) ทำให้ก่อเกิดกำลังลมหายใจที่มีประสิทธิภาพ (Vo2Max)

(Vo2Max) ถ้าเรียกในทาง วิทยาศาสตร์ อาจเรียกได้ว่าเป็นการใช้ลมหายใจให้เกิดประสิทธิภาพอย่างสูงสุด การสร้างพลังของกล้ามเนื้อที่ก่อให้เกิดพลังงานกับร่างกาย เกิดจาก ลมหายใจที่นำพา ออกซิเจน , กลูโคส ไปสร้างพลังให้กับกล้ามเนื้อ ความเชื่อ เกี่ยวกับ การใช้ ออกซิเจน ในอากาศ ซึ่งโดยปกติเมื่อเราหายใจเขัาไป ร่างกายจะแยกเอา ออกซิเจน ในอากาศ ได้ เพียง 20 % เท่านั้น ยิ่งความสามารถในการใช้ ออกซิเจน มีมากเท่าไหร่ ก็เปรียบ เหมือนค่า vo2max ก็มีสูงขึ้น ใช้ออกซิเจนได้ดีมีความสามารถในการ ควบคุม ออกซิเจนได้ดี ก็จะมีค่า ความทนทานสูง หรือเรียกว่าอึดนั่นเอง วิชาลมปราณก็เป็นเช่นนั้นเอง มันก็คือ วิชาควบคุม ออกซิเจนในอาการ เพื่อให้ร่างกายสามารถนำ ออกซิเจนมาใช้ได้มากขึ้น จนเกิดกำลังขึ้นภายใน เกิดเป็นความถึก และทนทานของร่างกายตามมา

วิชากำลังภายในมีที่มาและ บ่อกำเนิด มาจากวิชา โยคะ ซึ่งจะมีวิชาแรก ที่จะฝึกเรียนกันในการฝึก โยคะ คือวิชาลมหายใจ เป็นวิชาที่ผู้เริ่มฝึกโยคะ ต้องฝึกกันทุกคน เพื่อควบคุมลมหายใจ


โยคะ = การใช้ ออกซิเจน (Vo2Max) +ความยืดหยุ่น + ISOMETRIC EXERCISE (การออกกำลังโดยใช้กำลังของร่างกายควบคุมท่าทางของร่างกายให้หยุดนิ่ง ในชั่วขณะ หรือที่เราเรียกในภาษาเวต Static level +สมาธิ(อานาปาณะสติ)

วิชาควบคุมลมหายใจ มีใช้อยู่อย่างแพร่หลาย และจริงจัง ในประเทศ จีน แล้วค่อยๆแพร่ต่อมาใน ประเทศข้างเคียง อย่าง ในญี่ปุ่น เกาหลี และแคว้น รอบข้าง ในสมัยก่อน จีน โบราณ จะเรียกวิชา เหล่านี้ว่า วิชายุทธ นอกด่าน คำว่า วิทยายุทธ หรือที่เรียก ว่า กงฟู 
    
กงฟู (功夫) หรือ วูซู (武术)
กงฟู เป็นศิลปะการต่อสู้ของจีนที่มีการแพร่หลายมาหลายศตวรรษ มีความหมายถึงความแข็งแกร่งทางกาย โดยลักษณะที่มุ่งเน้นของพลังงานที่ระบุว่าคือ พลังระบบภายใน (内家拳) ที่มีสมาธิ ในการปรับปรุงและการออกกำลังกล้ามเนื้อหัวใจและหลอดเลือด


ที่มาของวิชากำลังภายใน เป็นเสมือน ดังนิยายกำลังภายใน ที่หลายคนเคยอ่านมาแล้ว แรกเริ่มเดิมที ต้องพูดว่า เกี่ยวกับ บทหนึ่งในมังกรหยก ที่มีการพูดถึง เตียซัมฮง ปรมจารย์ แห่งสำนัก บู๊ตึ๊ง ผู้คิดค้น วิชา ไทเก๊ก ที่ภายหลัง ได้แตกแขนง ออกมาเป็นหลายสาขาวิชา ไม่ว่า จะเป็นกำลังภายในของ สำนักบู๊ตึ๊ง เอง กำลังภายในสำนักเส้าหลิน แล้วแตกแขนงออกมา เป็นกำลังภายใน ของสำนัก อื่นๆ


จางซันฟง หรือ เตียซำฮง เป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์จีน มักกล่าวถึงใน ภาพยนตร์กำลังภายใน ที่มีชื่อเสียง เช่น เรื่องดาบมังกรหยก ซึ่งเขียนโดย กิมย้ง หรือจินหยง ยอดนักเขียนนวนิยายกำลังภายในนามอุโฆษ
เชื่อกันว่าจาง ซันเฟิง เกิดเมื่อวันที่ 9 เมษายน คศ 1247 ในปลายรัชสมัยซ้อง ที่ มณฑลเหลียวหนิง มีชื่อเดิมว่า จาง เฉวียนอี โดยที่ชื่อ ซันเฟิง นั้นเป็นฉายาที่เป็นนักบวชใน ลัทธิเต๋า  มีชื่อเสียงสมัยราชวงค์หยวน  เริ่มเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวบ้านสามัญชน จากการใช้กำลังภายใน การช่วยเหลือคนเจ็บไข้ แล้วมีอายุยืนยาวมาจนถึงราชวงศ์หมิง และค่อย ๆ หายหน้าไปจากหน้าประวัติศาสตร์จีน ท่านใช้ชีวิตมากว่า 200 ปี และไม่มีประวัติการเสียชีวิต และเจ็บป่วย หากใครได้อ่าน มังกรหยกภาค ประมุขพรรค เมงกา จะมีตอนหนึ่งกล่าวถึง การหายไปเฉยๆของ เตียซำฮง อยู่บทหนึ่ง หลายคนเชื่อกันว่า เตียซำฮงสำเร็จวิชาอมตะ และกลายไปเป็นเซียน

มีประวัติของจาง ซันเฟิงในหน้าประวัติศาสตร์มากมาย แต่ที่มีชื่อเสียงคือ การก่อตั้งสำนักอู่ตัง หรือ บู๊ตึ๊ง และการค้นคิดวิชามวยไทเก๊ก และวิชาลมปราณ
วิชากำลังภายในของสำนัก บู๊ตึ๊ง นั้นเดิม มีที่มาจาก เส้าหลิน ที่มีวิชา กำลัง ภายใน เดิมทีมีการฝึกสอน จากปรมจารย์ ตั๊กม้อ ที่ได้นำเอา วิชาลมหายใจ ของ โยคะอินเดีย มาเผยแพร่ต่อ ในจีน พร้อมกับการเผยแพร่ศาสนาพุทธ ที่เดิมก็มีการกำหนดลมหายใจอยู่แล้ว ซึ่ง วิชาลมหายใจก็ได้พัฒนาขึ้นในช่วงนี้นี่เอง หากใครเคยอ่าน มังกรหยก อาจจะเข้าใจ ว่า เตียซำฮง นั้นเป็นแค่ ตัวละครในจินตนาการของ กิมย้ง แต่ ในความเป็นจริงแล้ว กิมย้ง เป็นนักประวัติศาสตร์ งานเขียนของ กิมย้ง ล้วนแต่นำเอา ประวัติศาสตร์ การกู้ชาติ ในยุคต่างๆของจีนมาเขียน  ตัวละคร อย่าง เตียซำฮง ก็มีตัวตนอยู่จริง สำนัก บู๊ตึ๊ง ก็มีอยู่จริง เพียงแต่เวลาอ่านออกเสียง ชื่อ ของบุคคล ในประวัติศาสตร์เช่นนี้ จะถูกต้อง หรือไม่ ก็ยากที่จะระบุได้

เตียซำฮง(จางซันฟง) ปรมจารย์แห่ง วิชากำลังภายใน ได้คิดค้น วิชาไทเก็ก ขึ้นมาโดยนำเอา วิชาลมปราณ ของ เส้าหลินมาพัฒนาต่อ เดิมที เตียซำฮง ในวัยเด็กได้แอบฝึกวิชา ในวัดเส้าหลิน แต่ถูกขับไล่ ออกมาจึงได้มาเผชิญโชค และก่อตั้งสำนัก บู๊ตึ๊ง ขึ้น และเผยแพร่ วิชาลมปราณ และ วิชาไทเก๊ก รวมทั้งปรัชญาของสำนัก จนฝังรากลึกเป็นพื้นฐาน ของกงฟู ของจีน สืบต่อมาจนปัจจุบัน

สำหรับบทนี้ เป็นบทพิเศษที่เขียนขึ้นมาสนุกๆแฝง สาระในบางส่วนไว้ ซึ่งในเรื่อง ของวิชากำลังภายใน และ กงฟู นั้นยังไม่ได้หมดเพียงแค่นี้ แต่อยากจะรอไว้โอกาสหน้า คราวต่อไปผมจะมาไข ถึงวิชากำลังภายใน และ กงฟู รวมทั้ง วิชา มวยเหนือ มวยใต้ ที่แบ่งแยกเพลงมวย ออกเป็น มวยเตะ และมวยต่อย และ จุดกำเนิดวิชา มวยหย่งชุน ซึ่งอาจจะไม่เกี่ยวกับการควบคุมน้ำหนักนัก แต่มันคืออีกศาสตร์หนึ่ง ในการพัฒนา การออกกำลังกายของคุณให้ดีขึ้นหากเข้าใจการควบคุมลมปราณอย่างแท้จริง

ขอบพระคุณครับ





berpee เพื่อการสลายไขมัน

Berpee

สำหรับการออกกำลังกายเพื่อการควบคุมน้ำหนัก อย่างที่เคยพูดมาแล้วในบทก่อนหน้านี้ว่า เราอาจจะแบ่งการออกกำลังกาย คร่าวๆได้ 3 - 4 ชนิด คือ คาดิโอ ( การพัฒนาระบบการหายใจ และปอด ) การยืดหยุ่น ( เช่นพวก โยคะ ) ความแข็งแรงทนทานของกล้ามเนื้อ ( การเวตเทรนนิ่ง ) และอย่างสุดท้ายที่ก็ไม่ได้พูดถึงในบทก่อน คือ การฝึกความสมดุลย์  

สำหรับการควบคุมน้ำหนัก แล้วหลายคนจะไปมุ่งความสนใจที่การ เบิร์น โดยคิดว่า การวิ่ง การปั่นจักรยาน การแอโรบิค นั้นมีความสำคัญในการลดน้ำหนักมากกว่า การเวต จริงๆแล้วมีการพูดถกเถียงเรื่องนี้กันมาพอสมควร ว่าระหว่างการ คาดิโอ กับการ เวตเทรนนิ่ง อันไหน มีผลในการเผาผลาญกว่ากัน 

ส่วนตัวผมเคยได้อ่านข้อเขียนของอาจารย์ ทางเวตเทรนนิ่ง ท่านหนึ่ง ท่านบอกว่า การเวตเทรนนิ่งนั้น ให้ผลในการเผาผลาญ ต่อเนื่องที่ยาวนานกว่า หลายชั่วโมง ต่างจากการคาดิโอ ที่จะจบการเผาผลาญพลังงานหลังจากจบการ คาดิโอ ไม่นานนัก และมองว่า การคาดิโอเป็นเพียงกิจกรรมเสริม ให้ ระบบการทำงานของ หัวใจ มีกำลังบีบอัดเลือด เพียงพอกับที่กล้ามเนื้อของเรามีความจำเป็นต้องใช้พลังงาน ได้ทัน ซึ่งการมอง แบบนี้ ต่างจาก พวกนักวิ่ง ซึ่งจะมองว่าการ คาดิโอโดยเฉพาะ การวิ่งเผาผลาญได้ดีกว่า การเวต โดยจะพูดถึงการ ทำ HIIT ว่าในเวลาจำกัดสามารถ ที่จะเบิร์นได้มหาศาล มากกว่า การเวตที่ใช้เวลานานกว่า

                                                                       


การเบิร์น ในมุมของ คาดิโอ เผาผลาญได้มากในระยะเวลาอันสั้น เช่นการทำ HIIT สามารถเร่งการเผาผลาญได้เร็วมาก กว่า การเวตในเวลาอันสั้น แต่ไม่สามารถทำต่อเนื่องยาวนานได้

berpee ที่เป็นท่าการเบิร์น ในแบบ HIIT ที่รีดไขมันได้อย่างมหาศาลจริงๆ ภายเวลาอันสั้น 

berpee จากประสพการณ์ ที่เคยทำมาพบว่า berpee เหนื่อย และใช่พลังงาน มหาศาลจริงๆ ต่างจากการวิ่ง มาก แค่ 10 ครั้ง ก็หอบแฮกๆเหมือนวิ่ง เต็มสปีด ในเวลาอันสั่นกว่า แถมใช้พื้นที่น้อยกว่า  

การทำคาดิโอ สลับกับการเวต มีการศึกษา มาว่าการทำ คาดิโอ สลับกับการ เวต นั้นส่งผลให้ การเวต ดีขึ้น รีดไขมันได้เพิ่มขึ้น

 อาจจะเริ่มจากการเวต สลับคาดิโอ ในช่วงสั้น เช่นการกระโดดตบ กับการเวต 1 ท่า 3 เซต 1กลุ่ม กล้ามเนื้อ โดยปกติ ใน กล้ามเนื้อ 1 กลุ่ม เรา ควรใช้ท่าเวต รวมกันทุกท่าแล้วไม่เกิน 12 เซต ถ้าเรา ยก 4 ท่า ก็อาจจะแบ่ง เป็นท่า ละ 3เซต เซตละ 8 - 12 ครั้ง ยกตัวอย่าง เรายกเวต ครบ1ท่า 3 เซต แล้วให้สลับ มาทำ คาดิโอ 5 - 10 นาที แล้ว กลับมาเวต ท่าต่อไป สลับกันไป 

การทำ berpee สลับ กับการเวต จะช่วยให้ คาดิโอ ในระยะเวลาที่สั้นกว่า และต่อท่าเวตได้ ดีขึ้น แถมเผาผลาญได้ดีขึ้น โดย อาจจะ berpee สัก 10 - 15 ครั้ง สลับการเวต 1ท่า 3เซต ในกลุ่มกล้ามเนื้อเดียวกัน

การทำ berpee เพื่อการ คาดิโอ เพื่อการเผาผลาญ โดยใช้เวลาอันสั้น อาจจะทำ 30 - 50 ครั้งโดยแบ่ง เป็น เซต แต่ถ้าหากไม่สามารถทำต่อเนื่องได้ไหว อาจจะเริ่ม ทำ ครั้งละ 3 - 5 ครั้ง สลับกับการ ชกลม หรือการคาดิโอเบาๆ อย่างการ กระโดดตบ หรือกระโดดเชือกลม เพื่อ ให่การสลับ ทำได้ต่อเนื่อง ยาวนาน เพราะหาก ทำ berpee ต่อเนื่อง นั้นยาก และ เหนื่อย เร็วไม่สามารถทำต่อเนื่องได้

สำหรับบทนี้ ผมอยากแนะนำ การ ออกกำลังกายแบบ คาดิโอง่าย ที่ได้ผลในการ ลีน ไขมัน ออกไปในเวลาอันสั้น และหาก นำมาสลับกับการ เวต ก็ยิ่งทำให้ การลีน ไขมัน ได้ผลดีขึ้นไปอีก สำหรับบทนี้ฝากไว้เท่านี้นะครับ

ขอบพระคุณครับ




วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558

การออกกำลังกาย ประเภท และ ความสัมพันธ์


ประเภทของการออกกำลังกาย

ในการออกกำลังกายถ้าจะแบ่งออกอย่างง่ายๆตามการทดสอบสักยถาพทางร่างกาย เราจะแบ่ง ออกเป็น 3 ประเภท


1. การออกกำลังกายเพื่อพัฒนาความทนทาน ของระบบปอด หัวใจ ในการเทส สมรรถภาพของร่างกายเราจะเรียกว่า การฝึกเพิ่มความทนทาน Cadiorespiratory Endurance การออกกำลังกายในหมวดนี้จะเน้นการพัฒนากล้ามเนื้อปอดและระบบการหายใจ เช่นการวิ่ง การแอโรบิค และกิจกรรมทางกายอื่นๆที่ เป็นการใช้ระบบการหายใจของเรา

2.การออกกำลังโดยการพัฒนาความยืดหยุ่น และอ่อนตัว Flexibility
ของร่างกาย การออกกำลังกายในรูปแบบนี้ เป็นการเพิ่ม ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ หากมีความยืดหยุ่นมากก็จะทำให้เราได้รับอันตรายจากการบาดเจ็บได้ยาก เช่นการยืดเหยียด การทำโยคะ

3.การฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ Muscular Endurance and Strength เป็นการพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อโดยใช้ การโหลดน้ำหนักเข้าไปเป็นการเพิ่มภาระให้แก่กล้ามเนื้อ เพื่อพัฒนาความทนทานและแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ ซึ่งกล้ามเนื้อจะไม่พัฒนาในภาวะที่น้ำหนักปกติ เช่น การเวท ชนิดต่างๆ


การออกกำลังกายทั้ง 3 หมวดหมู่นี้ ควรฝึกไปด้วยกันไม่ควรพัฒนาไปเพียงทางด้านใดด้านหนึ่ง
หากเรา ฝึกแต่เพียงการวิ่ง ที่เป็นการพัฒนาระบบ ปวดและหัวใจ เพื่อความทนทานและเพิ่มความอึดเพียง อย่างเดียว ระบบการเผาผลาญไขมัน และพละกำลังของกล้ามเนื้อ จะน้อยกว่าการเล่นเวท สะสมไขมันได้ง่าย และ อาจบาดเจ็บได้ง่าย เพราะไม่มีความยืดหยุ่น *(การวิ่งจะดีขึ้นมากกว่าเดิมหากเล่นเวทขาเป็นการเสริมพละกำลังให้กล้ามเนื้อขา สร้างแรงได้มากขึ้น )
หากฝึกแต่เวทเทรนนิ่งเพียงอย่างเดียว ก็จะมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง และ การเบิร์นไขมันที่ดี ขึ้นจากการสร้างกล้ามเนื้อ แต่ถ้าคุณเล่นเวทตัวใหญ่มากขึ้น หัวใจไม่แข็งแรงพอ จะเหนื่อยได้ง่าย
*(หัวใจทำหน้าที่สูบฉีดเลือดและกลูโคสไปเลี้ยงกล้ามเนื้อ ถ้าเรามีกล้ามเนื้อมากขึ้นแต่หัวใจ ไม่ค่อยแข็งแรง หัวใจจะต้องทำงานหนักขึ้นกว่าเดิมมากเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายที่ใหญ่ขึ้น ไม่ต่างกับคนอ้วนๆที่หอบง่ายเพราะตัวใหญ่หัวใจเท่าเดิม )




ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างคร่าวๆถ้า ของการจัดกิจกรรมทางกายสำหรับการออกกำลังกาย ที่อยากให้รู้กัน ซึ่งการแบ่งประเภทการออกกำลังการนั้นเราสามารถแบ่งได้เป็นหลายอย่าง แต่ที่ผมนำเสนอในเบื้องต้นเพื่อความเข้าใจอย่างง่าย แต่ก็อาจจะมาเขียนถึงการแบ่งประเภทการออกกำลังกายแบบอื่นๆอีก เช่นการออกกำลังกาย ในแบบ Isometric Exercise ไอโซเมตริก ,Isotonic Exercise  ไอโซโทนิก,Isokinatic Exercise ไอโซคิเนติก มาพูดถึงกันบ้าง ว่ามันเป็นยังไง แตกต่างกันยังไง รวมถึงอาจจะมาพูดถึง การวิ่ง การเลือกรองเท้าวิ่ง การวิ่งเท้าเปล่า การพัฒนาการวิ่งด้วย การเพิ่ม ความถี่ ความหนัก และ ระยะเวลา ในการวิ่ง และอื่นๆอีกมากมาย อยากให้นักวิ่งที่วิ่งประจำ ได้อ่านกัน เผื่อจะเป็น ประโยชน์ กับนักวิ่ง ทั้งหลาย บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ

ในบทนี้คงไม่มีอะไรมากคงฝากไว้แต่เพียงหมวดหมู่การออกกำลังกายทั้ง 3 ประเภทเท่านี้

ขอบพระคุณครับ

Miesha "Cupcake" Tate

 






15 Wins - 5 Losses - 0 Draws

First Name: Miesha
Last Name: Tate
Nickname: Cupcake
Date of Birth: Oct 18, 1986
Weight: 61.2
Height: 168.0
Reach: 168.9
Location: Sacramento, California
Hometown: Tacoma, Washington
Fighting Styles: Wrestling, Jiu-Jitsu
Affiliations: Team Alpha Male



วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2558

ผิวแตกลาย

 ผิวแตกลาย


ผิวแตกลาย เป็นปัญหาหนึ่ง ที่คนที่ลดน้ำหนัก จะเจอกัน ซึ่งเป็นปัญหา ที่แตกต่างไปจาก ปัญหาของเซลลูไลท์ ที่เคยพูดกันไปแล้ว ปัญหาของผิวแตกลาย เป็น ปัญหา จากการยืด และ หดของคอลลาเจน ในชั้นหนังแท้ สามารถ เกิดได้ทุกคน ทุกเพศทุกวัย แต่ปัญหา มักจะเกิด กับ หญิงตั้งครรภ์ และ คนที่ลดน้ำหนัก ไม่ว่า จะมาจากผิวหนังที่ยือ หรือ หดตัว ล้วนแต่ทำให้เกิดผิวแตกลายได้ด้วยกันทั้งสิ้น

ลักษณะ ที่เรียกว่า ผิวแตกลาย คือริ้วแผลเป็น มีหลายสี แรกๆเป็นสีแดง มีการอักเสบใต้ผิว มีเส้นเลือดมาเลี้ยง เป็นสีแดง ทิ้งไว้นานๆจะยุบตัวลงไป ทิ้งไปนานๆจะเป็น สีขาว




สาเหตุการเกิดผิวแตกลาย

1.พันธุ์กรรม เวลามีการยืดตัวของผิว เวลา ยืดตัวของกล้ามเนื้อ ผิวหนังเร็วๆ ก็เกิดเป็นผิวฉีกขาดอยู่ด้านใน เป็นได้ทุกเพศทุกวัย มีการขยายตัว หรือ หดตัวก็ได้

2.เกิดจากกลุ่มโรคบางโรค เช่นโรคที่มีสเตียรอยด์ อยู่ในร่างกายเยอะ เช่น คุชชิ่งซินโดรม (Cushing s Disease ) คุชชิ่ง ซินโดรม เป็นสัญญาณบอกว่าในร่างกายมีระดับคอร์ติโคสเตรอยด์สูงเป็นเวลานาน

3.ใช้ยาในกลุ่มสเตียรอยด์เยอะๆ พอใช้ไปนานๆ สเตรียรอยด์จะทำให้ผิวบางลง สารสเตียรอยด์ทำให้ผิว ขาวจริง แต่ก็ขาวไม่นานก็จะกลับมา เหมือนเดิมแต่ทำให้ผิวบางลง

วิธีรักษา อาการแตกลาย ต้องทราบให้แน่ก่อนว่า ปัญหาแตกลายมีผลมาจาก สิ่งใด มาจากการยืด หด ของผิวหนัง หรือ ปัญหา อื่น เช่น การใช้ยาสเตียร์รอยด์เป็นเวลานานๆ ปัญหาเนื้องอก ที่ทำให้การหลั่งฮอร์โมนผิดปกติ แล้วจึงค่อยมารักษาได้อย่างถูกวิธี

วิธีการรักษา อาการแตกลาย

 1.ส่วนใหญ่จะเป็นครีมกระตุ้นคอลลาเจนระดับเซลล์จริงๆ คือกลุ่ม วิตามิน เอ (retinoic acid)แลคติโนอิคแอซิด

2.ทำให้สิ่งแวดล้อมของเซลล์ทำงานดีขึ้น เช่น สารประกอบที่ให้ซ่อมแซมผิวดีขึ้น เช่น
วิตามินอี

3.การใช้การ กลอผิว ด้วยผงอลูมินัมออกไซส์  ต้องทำให้เกิดมีแผล มีการกระตุ้นมากพอ

4.ใช้สารกลัดผลไม้ ที่ใช้ในการรักษาสิว ต้องดูการกระตุ้นที่มากพอ

5.เลเซอร์ และ คลื่นความถี่วิทยุ

7.การใช้ Growth Factor โดยได้มาจากเลือด หรือ ไขมัน หรือ สเต็มเซล์ มาทำให้เกิดแผล แล้วใส่สารพวกนี้เข้าไป แล้วกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่

(Growth Factor คือ สารที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในร่างกายของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด สามารถกระตุ้นให้เซลล์มีการเพิ่มจำนวน การเจริญเติบโต และพัฒนาการของเซลล์ได้)


การรักษา แผลแตกลาย อาจแบ่งได้ 3 ระยะ ดังนี้คือ

1.ช่วงป้องกันการเกิด ของปัญหาผิวแตกลาย ทำได้เพียงแต่เพิ่มความชุ่มชื้น และ เพิ่มคอลลาเจน ให้กับผิว ล่วงหน้า ก่อนที่จะเกิดการแตกลาย

2.ในช่วงที่เริ่มเป็นแผลแตกลาย ใหม่ แผลจะมีลักษณะเป็นสีแดง สามารถรักษาด้วยตามอาการจากมากไปหาน้อย ได้โดย
  
    2.1 หากเป็นน้อย ก็เริ่มจากการทายา ในกลุ่ม วิตามินเอ (retinoic acid) แลคติโนอิคแอซิด เป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และ อิลลาสติน ให้กับผิว ได้มากขึ้น
  
   2.2 หากเป็นมาก ก็อาจจะใช้ การกลอผิว ช่วย โดยอาศัย ผงอลูมินัมออกไซส์ กระตุ้นให้เกิดแผลเล็กๆตลอดเวลา หรือ จะเลือกใช้ การลอกผิว ในแบบการทำ เบบี้เฟส ก็สามารถทำได้ เพื่อกระตุ้นการสร้างขึ้นใหม่ นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ เลเซอร์วีบีม เพื่อเพิ่มการรักษา และป้องกันไม่ให้เป็นแผลเก่า  ซึ่งให้ผลดีในการรักษามากกว่าการปล่อยให้เป็นแผลเก่า แล้วค่อยมารักษาทีหลัง

3.การรักษา แผลแตกลาย ที่เป็นแผลเก่า
การรักษาแผลเป็นเก่า ต้องใช้ เลเซอร์ที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และ เลเซอร์ ปรับผิวไปด้วย เช่นกลุ่มเลเซอร์คูลทัช cooltouch laser กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ และ ปรับสภาพผิว ไปด้วย การใช้เลเซอร์เกลี่ย ให้มีการสร้างคอลลาเจนใหม่มากขึ้น การใช้ fractional technology จากเดิมที่ จะทำลายไปทั่วแต่จะทำลายเป็นเฉพาะจุด ให้มีการ หายเร็วขึ้นการกระตุ้นโดยการทำลายหนังแท้ส่วนล่างเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน มากขึ้น แต่การยิงเป็นจุดๆ จะทำให้หายเร็วขึ้น ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน มีการใช้มากในปัจจุบัน

สำหรับแผลแตกลาย เป็นปัญหา ของผิวหนัง ที่เกิดขึ้น จากการยืด หด ของผิวหนัง การขาดคอลลาเจน และ อิลลาสติน การเกิดเนื้องอก ที่ทำให้ฮอร์โมนของร่างกายผิดปกติ รวมทั้งปัญหาทางพันธุ์กรรมด้วย ผิวแตกลาย เป็นปัญหา ที่ป้องกันได้ยาก แต่ก็ยังสามารถรักษาได้ 

ขอบพระคุณครับ

Rin NaKaI 


 











































วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2558

ธัยรอยด์

 ธัยรอยด์

เรื่องของ ธัยรอยด์ ฮอร์โมน อาจจะมีหลายคนเขียน และพูดถึงกันมาแล้ว ธัยรอย์ฮอรโมน เป็น ส่วนหนึ่งของร่างกาย เป็นอวัยวะที่มีลักษณะ คล้ายปีกผีเสื้อ ไม่อาจจสังเกตุเห็นได้ในภาวะ ปกติ เว้นแต่จะ บวมขึ้นมา หรือสังเกตุได้จากกลืนน้ำลายลงไป ปัจจุบัน ในการลดน้ำหนัก มีการพูดถึง ธัยรอยด์กันมาก ถึงขนาด แม้แต่ใน ยาลดน้ำหนัก ที่จัดเป็นยาชุด ยังมีการนำเอา ฮอร์โมนธัยรอยด์ ดังกล่าว มาจัดอยู่ในชุดของยาลดน้ำหนักด้วย



ธัยรอยด์ฮอร์โมน คือ ฮอร์โมนที่ผลิต มาจากต่อม ธัยรอยด์ ซึ่ง ต่อมธัยรอยด์ จะผลิตฮอร์โมนขึ้นมาอยู่ 3 ชนิด คือ

1.(Triiodothyroxine , T3 )ไตรไอโอโดธัยรอกซิน

2.( Thyroxine , T4 )ธัยรอกซิน

3. (calcitonin) แคลซิโทนิน เป็นฮอร์โมน ที่ออกฤทธิ์ ตรงข้ามกัน พาราธัยรอยด์ คือช่วยลดระดับแคลเซียมในเลือด

T3(Triiodothyroxine) และ T4(Thyroxine) เป็นฮอร์โมน ซึ่งจะทำหน้าที่ควบคุมขบวนการ เผาผลาญและ ควบคุมการทำงานของร่างกาย

ความผิดปกติของต่อมธัยรอยด์แบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 3 ประเภท คือ

1.ความผิดปกติอันเกิดจากต่อมธัยรอยด์มีการสร้างและหลั่งฮอร์โมนมากหรือน้อยผิดปกติ

2.ความผิดปกติที่ต่อมธัยรอยด์มีขนาดโตขึ้น  โดยอาจโตแบบทั่วๆไป ( diffuse  goiter ) , โตขึ้นเป็นลักษณะก้อนเดี่ยว ( single หรือ solitary  nodule ) , หรือโตหลายๆก้อน ( multinodular goiter ) ก็ได้ ซึ่งที่พบ มี 2 ประเภท คือ เนื้องอกธรรมดา และ มะเร็งต่อมธัยรอยด์ ซึ่งมีผลทำให้ การผลิต ฮอร์โมนธัยรอยด์ ผิดปกติไปด้วย

3.กลุ่มภูมิเพี้ยนธัยรอยด์ ออโตอิมมูนไทรอยด์  autoimmune thyroiditis คือ ภูมิเพี้ยน มีผลต่อ ธัยรอยด์ และเกิดการ อักเสบของต่อมธัยรอยด์ จนเกิด ความผิดปกติของ ธัยรอยด์ฮอร์โมน

 หน้าที่ของ ธัยรอยด์ฮอร์โมน

1.ควบคุมอุณหภูมิร่างกาย ให้คงที่ ไม่สะบัดร้อน สะบัดหนาว

2.หลั่งน้ำย่อยอาหาร

3.ควบคุม ออกซิเจนในเลือด ว่าจะน้อย หรือ มาก

แผนผังการที่สมอง สั่งให้ผลิตธัยรอยด์ฮอร์โมน 


ความผิดปกติของ ต่อมธัยรอยด์ ที่ผลิต ธัยรอยด์ฮอร์โมน ที่ผิดปกติ ไม่ว่าจะ มาก หรือ น้อยจนเกินไป ล้วนแต่ ก่อให้เกิดอาการของโรค ที่ผิดปกติทั้งสิ้น โดยอาจจะสรุป

อาการของ ธัยรอยด์ ได้ คร่าวๆดังนี้คือ

1. ไฮเปอร์ธัยรอยด์ (Hyperthyroidism) เป็นภาวะ ผิดปกติ อันเนื่องมาจาก มีฮอร์โมนธัยรอยด์ที่มากเกิน ไป เกิดภาวะการเผาผลาญที่มากเกินไป ทำให้ ร่างกาย สูญเสีย กล้ามเนื้อ ไขมัน และมีภาวะ เหงื่อออกง่าย ใจสั่น ท้องเสีย  ดูแก่เร็ว

ภาวะไฮเปอร์ฮอร์โมน เป็นภาวะ ที่ หลายคนที่ลดความอ้วน มีความเข้าใจที่ผิด คิดว่าดี กินเท่าไหร่ ยังไง ก็ไม่อ้วน แต่จริงๆแล้ว มันเป็นโรคที่ทำให้อายุสั้นและ ตายง่าย แก่เร็ว กินเข้าไปเท่าไหร่ก็ไม่ พอที่ร่างกายจะเอาไปใช้

ร่างกายมีกิจกรรมมากเกินไป ในการแพทย์ไทย เราเรียกว่าโรคแห่งความร้อน ระบบการทำงาน ของอวัยวะ ทำงานเร็วจนเกินไป ร้อน เมื่อมีร้อนมาก ก็จะขึ้นไปที่สมอง และ พาความร้อนระบายออก ซึ่งคอ เป็นทางออกของความร้อน จนเกิดคอบวม เป็นโรคคอพอกขึ้นมา


2. ไฮโปธัยรอยด์ (Hypothyroidism) คือ ธัยรอยด์ทำงานน้อย ไม่เผาผลาญ ก็ทำให้อ้วนง่าย มีการเปลี่ยนแปลงร่างกายหลายระบบ ไม่ว่า ไขมัน โปรตีน คาร์บ มีผลให้อ้วนง่ายและมีการเปลี่ยนแปลงระบบประสาท ทำให้ สมาธิไม่ดี คิดช้า ถ้าเป็นมาก จะเสี่ยงต่อ โคเลสเตอร์รอล ตรัยกลีเซอร์รัยสูง ลักษณะ เฉพาะ ถ้าเป็นมากตาโปน หลับตาไม่สนิท บวมเยื่อบุลูกตา  อาจมีผลกระทบให้ตับวาย ไตวาย เมื่อตับวาย ก็ส่งผลให้การควบคุม อินซูลิน มีปัญหา เกิดภาวะดื้อ อินซูลิน กลายเป็นเบาหวานตามมาอีก




ธัยรอยด์ฮอร์โมนที่มีมาก หรือ น้อย ล้วนแต่เป็นปัญหา ในปัจจุบัน ปัญหาของโรค ธัยรอยด์ เกิดขึ้นได้บ่อยกว่า ในอดีต เนื่องจากรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวันของเรา ทำให้ ระบบเผาผลาญ มีปัญหา และส่งผลกระทบต่อการ ลดน้ำหน้ก

คนที่มีฮอร์โมนธัยรอยด์ สูงๆ ก็อาจจะเรียกได้ว่า เป็นคน ตัวร้อน คำว่า คนตัวร้อน คือลักษณะ ของ คนที่มีการทำงานนของระบบร่างกาย มาก กินมาก ใช้มาก เหมือนเครื่องยนต์ ที่ทำงานหนักมากๆ เครื่องก็จะร้อน คนที่มีลักษณะตัวร้อน กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน เพราะ เครื่องยนต์มันทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา  แต่ปัญหา คือ เครื่องยนต์ กับร่างกายคน มันไม่เหมือนกัน เพราะ ระบบการทำงานของคนเรา ใช้ หัวใจ เป็นตัวสูบฉีด หาก ระบบอวัยวะในร่างกายเราทำงานหนัก เราก็จะทำให้หัวใจเราทำงานหนัก และเหนื่อยง่าย ด้วยความร้อนที่มีในตัว ก็จะทำให้ เลือดมีความหนืด ข้น ทำอะไรก็เหนื่อย หอบ ผิดปกติ หายใจเร็ว ท้ังหมดนี้ ล้วนมาจาก พฤติกรรมผิดๆ ของเราทั้งสิ้น

คนที่มีฮอร์โมนธัยรอยด์ น้อยๆ คือ คนที่มีลักษณะที่เป็นทางตรงกันข้าม กับคนต้วร้อน กินเท่าไหร่ ก็ไม่เอาไปใช้ มีลักษณะ เป็นคนเฉื่อยชา ทำอะไรไปวันๆ ไม่ค่อยสนใจอะไร อ้วนง่าย หรืออาจจะเรียกว่าได้เป็นคนตัวเย็น ไฟธาตุ ในร่างกาย น้อย ทำให้ระบบเผาผลาญพลอยน้อยไปด้วย ระบบไฟธาตุ ในการเผาผลาญอาหาร ที่ใช้ย่อยก็น้อย ท้องอืดง่าย มีปัญหา ท้องอืด ตลอดเวลา



วิธีการรักษา

1.ให้ยาเพื่อ เพิ่ม หรือ ลด ฮอร์โมนธัยรอยด์ ทั้งนี้ ในการตรวจเลือด จะทำให้ทราบว่า ควรจะปรับเพิ่ม หรือลด ปริมาณฮอรโมนธัยรอยด์ อย่างไร ยาในกลุ่มนี้ จึงเป็นยาที่ต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น

2.ในรายที่เป็นมาก จะใช้การ กลืนกัมมันตรังสี ที่มีสภาพ เป็นน้ำเข้าไป เพื่อทำลาย ต่อมธัยรอยด์ ทิ้งไปเลย ในกรณีนี้ เป็นกรณี ที่ หากมีธัยรอยด์อยู่ จะทำให้เกิดอันตราย แก่คนไข้ได้ แพทย์ จะ ใช้ในกรณี ที่มีความเสี่ยงสูงเท่านั้น

ธัยรอยด์ เป็นโรคที่เกิดขึ้นได้ บ่อยมากขึ้นในปัจจุบัน พบว่า การเกิด ธัยรอยด์เป็นพิษ( Thyrotoxicosis )
ตรวจพบได้มากขึ้น ในปัจจุบัน

สภาวะ ปัจจุบันที่มีความเป็นพิษสูง ไม่ว่า จากทางสภาพจิตใจ ที่ทำให้ ระบบประสาท และสมอง ที่มีส่วนในการสั่งการ ให้ผลิต ธัยรอยด์ฮอร์โมน สั่งการผิดปกติ หรือ แม้แต่พฤติกรรม ในชีวิตประจำวัน ชั่วโมงการทำงานที่มาก สภาวะแวดล้อม ล้วนแต่มีผลให้ โรคออโตอิมมูนไทรอยด์  autoimmune thyroiditis หรือ ภูมิเพี้ยน อันเป็นสาเหตุของ การทำงานผิดปกติของ ธัยรอยด์ เกิดขึ้น ได้มากขึ้น

ยาธัยรอยด์ฮอร์โมน ที่มีการนำมาใช้เพื่อการควบคุมน้ำหนัก เพราะ ประสิทธิภาพ ในการเร่งอัตราเผาผลาญ ก็เช่นกัน หากว่า เราใช้ยา ไปเรื่อยๆ ร่างกายจะเลิก ผลิต ธัยรอยด์ฮอร์โมนไปเลย แล้ว หันมาใช้ ฮอร์โมนธัยรอยด์ ที่ร่างกายรับมาจาก ภายนอกแทน ทำให้ เมื่อลด ยา หรือ เลิกทานยา จะมีผลให้กลับมาอ้วน หรือ หากใช้ระยะเวลานาน อาจจะมีผลให้ ธัยรอยด์ มีปัญหา กลายเป็นโรคธัยรอยด์ ได้เช่นกัน ดังนั้น ยาธัยรอยด์ จึงถือเป็นยาอันตราย ที่ควรที่จะได้รับการสั่งจ่ายและ ปรับขนาดยาจากแพทย์เท่านั้น

ธัยรอยด์ฮอร์โมน มีผลกับความอ้วนของเราก็จริง แต่ก็ ไม่ใช่ยาที่จะนำมาใช้เพื่อการลดน้ำหนัก เพราะ มันเป็นเรื่องอัตราการเผาผลาญ หากเราใช้อย่างไม่รู้จักคิด ถึงอันตราย จะทำให้ ระบบการทำงานของ ธัยรอยด์ ของเรา สูญเสียไปอย่างถาวร การลดน้ำหนัก โดยหวังถึง กระบวนการ ทางฮอร์โมนของร่างกาย ในการไปเร่งอัตราการเผาผลาญ โดยไม่คิดถึง การทำงานของหัวใจ ที่ต้องทำงานหนัก อาจจะเป็นอันตรายกว่าที่คิด สำหรับในบทนี้ ผมขอแตะไว้เพียงเท่านี้

ขอบพระคุณครับ

Izabela badurek