วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Dukan Diet


 Dukan Diet


เป็นวิธีการ ไดเอต ที่คิดค้นขึ้นโดย นักโภชนาการ ชาวฝรั่งเศส ที่มีชื่อว่า ดร.ปิแอร์ ดูกอง
หลักการของ ดูกอง คือการ จัดสัดส่วนอาหาร และ ช่วงเวลา

Dukan Diet ใช้แนวคิดที่ในการจัด สัดส่วนของอาหาร โดยเน้นไปที่ โปรตีน  เนื่องจาก
เหตุผลที่ว่า  โปรตีน ถือเป็นสารอาหาร ที่เสริมสร้าง กล้ามเนื้อ และไม่เพิ่มชั้นไขมัน โดยจะ
เน้นการ สัดส่วน โปรตีน ถึง 80 % ของสารอาหารที่ควรได้รับ เฉลี่ยต่อวัน

ตัวอย่าง
หากเรามี ปริมาณ สารอาหารที่ ได้รับต่อวัน 2500 kcal เราก็จะต้องคิด เป็น 80%
ก็ คือ (2500x80)/100 = 2000 kcal ต่อวัน ซึ่งจะเป็นช่วงที่น้ำหนัก ลง
อย่างรวดเร็วที่สุด เฉลี่ย ถึง สัปดาห์ละ 1-2 กิโล แล้วจะมีการค่อยๆปรับสูตร ให้ มีอาหาร
อย่างอื่นแทรกเข้าไป เรื่อยๆ แล้วก็กลับมาทานอาหาร อย่างปกติ




หลักการ แบ่งช่วง ของ Dukan จะมีการแบ่งออกเป็น 4 ช่วง

1.attack phase ถือเป็นช่วงที่จะมีการจัดการ ประเภทอาหาร เป็นโปรตีนชนิด
ที่มีไขมันอิ่มตัวต่ำ หรือ Lean Protein เป็นหลัก  ห้ามการทาน น้ำมัน ทุกชนิด
เนย เครื่องปรุงรส อย่างเด็ดขาด  จะถือเป็นการหักดิบ เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยจะ
เป็น มีแหล่งอาหาร ส่วนใหญ่มาจาก โปรตีน ล้วนๆ 72 ชนิด ไม่มีการ ทานผัก และ ผลไม้
เพื่อเลี่ยง น้ำตาล  วิธีการปรุงอาหารก็จะใช้วิธีการ ลวก ต้ม  เพื่อป้องกันน้ำมันส่วนเกิน ที่
มาจากการประกอบอาหาร  ให้รับประทาน รำข้าวโอ๊ต 2 ช้อนโต๊ะ หากไม่มี ให้ทาน ขนมปัง
โฮวีต 1-2 แผ่น แทนได้ ช่วงนี้ จะเป็น ช่วงที่น้ำหนักลงเร็วมาก แต่ก็มีความเข้มงวด มาก

2.Cuise Phrase ช่วงที่ 2 จะมีการเพิ่ม การทาน ผัก ผลไม้ เพิ่มขึ้นมา รวมทั้ง
แป้ง คาร์บ  โดยในช่วงที่ 2 นี้ ถือเป็นช่วงที่จะเปลี่ยน การรับ สารอาหารจาก โปรตีนจากสัตว์
มาเป็นโปรตีน ในพืชแทน โดยใน ช่วงที่ 2 นี้จะมีความเข้มข้นที่น้อยลง มีการจัดสัดสารอาหาร
ที่หลากหลายขึ้น แต่ยังคง เน้นไปทางโปรตีน เพียงแต่ เปลี่ยนเป็น โปรตีนใน พืชแทน  รวม
ทั้งให้ทาน รำข้าวโอ๊ต 2ช้อนโต๊ะ หรือถ้าไม่มี ก็ให้ทาน ขนมปัง โฮวีตแทน ได้

3.Consolidation Phrase เป็นช่วง ปรับ สารอาหารที่ได้รับ ให้มีความ เข้ม
งวดที่น้อยลง เพื่อ ปรับเข้าสู่ สารอาหาร ที่ควรได้รับ ตามปกติ ที่เราเคยได้รับมา สารอาหาร
ประเภท โปรตีน ที่เราได้รับ จะไม่จำกัด แหล่งที่มา อย่างที่เคย เป็นมาในช่วง 1 และ ช่วงที่2
รวมทั้งยัง สามารถ ทานผลไม้ และ คาร์บได้ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง 

4.Stabilizatio Phrase ช่วงนี้ แทบจะเรียกได้ว่า กลับมาทานอาหารได้เป็น
ปกติ เช่นที่เคยเป็นมา แต่ก็ยังคงจะมี 1 วัน ใน1 สัปดาห์ที่จะเน้นสารอาหาร ประเภทโปรตีน
อยู่ แต่ก็ยังคงต้องเป็น pure protein ที่มีไขมันต่ำอยู่เช่นเดิม



Dukan Diet จะมีอาหารที่สามารถทานได้อยู่ 100 ชนิด โดยจะมีเนื้อสัตว์อยู่ 72 ชนิด
ผัก 28 ชนิด ซึ่งจะเน้นไปในอาหารที่อิ่ม อยู่ท้อง โดย ห้ามอดอาหารเด็ดขาด เพื่อที่ร่างกายจะ
ได้เอาพลังงานไปใช้ได้เต็มที่

สูตรอาหาร ในแบบ Dr.Dukan เน้นอาหารที่มีเส้นใยที่น้อย ผลที่ได้คือ อาการท้องผูก
และเนื่องจาก อาหาร ที่เน้นเป็นสารอาหาร ประเภทโปรตีน ซึ่งผมเคยพูดไปในบทก่อนแล้ว
ว่า การทานโปรตีนที่มาก เป็นภาระ กับร่างกายที่ต้อง ขจัดทิ้งไป เพื่อไม่ให้เกิด ภาวะความ
เป็นกรดในร่างกาย ทำให้ขาดสารอาหาร อย่างเช่น เกลือแร่ และวิตามินได้ แต่ Dr.Dukan
ก็ให้ทานเสริมเข้าไป ซึ่ง ผมมองว่า ไม่น่าจะได้ เพราะร่างกาย เป็นกรด มันรับ สารอาหาร
พวกนี้ไม่ได้อยู่แล้ว



การ Diet แบบ Dr.Dukan นั้น ได้รับการโจมตีจากสมาคม (British Dietetic
Association) ว่า เป็นการ Diet ที่แย่ที่สุด ไม่มีความรับผิดชอบ ต่อสุขภาพ
ของผู้ปฏิบัติ อีกทั้งยังคำนึง เพียงแต่ น้ำหนักที่ลดลงโดยไม่ได้คำนึงถึง สัดส่วนของสารอาหาร
ที่จะต้องได้รับ ให้มีความครบถ้วน  และ เตือนว่าผุ้หญิง ไม่ควรทำตาม เพราะถึงแม้
น้ำหนักจะลดลงอย่างรวดเร็วก็ตาม แต่ผลที่ได้กลับมานอกจาก ความเสี่ยง ต่อ การyoyo
แล้ว ยังมีผลต่อ สุขภาพทั้งความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ  และการขาดสารอาหาร ที่จะตามมา
ในภายหลัง  ซึ่งความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ที่ว่า มากจาก การได้รับ ไขมันอิ่มตัว มาจากเนื้อแดง
เนื้อหมู เนื้อวัว ที่แอบแฝงมา โดยผู้ Diet ไม่ทราบ รวมทั้งภาวะการทำงานของไต
ที่หนักขึ้นจากการ ที่ร่างกาย ดึงเอาพลังงานจากกล้ามเนื้อมาใช้แทน ทำให้เกิดภาวะ Ketosis
และภาวะ นิ่วในถุงน้ำดี จากการที่น้ำหนัก ลงอย่างรวดเร็วอีกด้วยร่างกาย อ่อนเพลีย กล้ามเนื้อ
ลีบ เพราะน้ำหนัก ที่ลง เร็วจนเกินไป  Dukan Diet จึงเป็นสูตรที่มีความอันตราย
และไม่ผ่าน เกณ ด้านความปลอดภัย  ทำให้ Dukan Diet เป็นสูตร Diet
หนึ่งที่ควรหลีกเลี่ยง แต่ในสถานะการณ์ ความเป็นจริงแล้ว ยังมีสาวๆจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
ที่ยังคงใช้สูตรลดน้ำหนักแบบนี้ เนื่องจากผลในการลดน้ำหนักที่รวดเร็ว โดยที่ทั้งรู้ว่ามีผลเสีย
แต่มองว่า ตนเองควบคุมมันได้ อีกทั้ง ยัง ทำการโปรโมต วิธีการนี้ต่อไป ให้กับผู้อื่น ทำตาม

หากคิดว่า จะลดน้ำหนัก โดยมองแต่เพียง ตัวเลขบนตาชั่ง นั้นถือว่า เป็นวิธีที่ผิด นะครับ
ตัวเลขบนตาชั่งนั้น วัด อะไรไม่ได้เลยครับ การที่เรามีน้ำหนัก น้อย ก็ไม่ได้ความว่าเราไม่อ้วน
นะครับ หลายคนอาจจะงง ว่าผมพูดอะไร คำว่าอ้วน หรือไม่อ้วน สำหรับ นักโภชนาการ และ
ผู้ฝึกสอน  ไม่ได้มอง น้ำหนักบนตาชั่ง อาจมีคนถามว่า แล้วเค้ามองอะไร เค้ามอง Lbm,%Fat
เคยเห็นคน ผอมแล้ว ลงพุง แล้วมีท้องแขนย้วยๆ ไม๋ครับ อย่างนั้น เราเรียกว่า คนอ้วนตัวเล็ก
เราไม่เรียกว่า คนผอมนะครับ เพราะ เค้าผอมก็จริง แต่ %ไขมัน เค้ามันเยอะอยู่ เราเรียกว่า
คนอ้วนตัวเล็ก ไม่เรียกว่า คนผอม ดังนั้น เวลาจะลดน้ำหนัก หรือ ควบคุมน้ำหนัก ให้มองที่
% ไขมัน ดีกว่านะครับ

อย่าลดน้ำหนัก โดยสักแต่เอาอะไรก็ได้ออกจากร่างกายให้ตัวเบาลงเท่านั้นนะครับ
น้ำหนักตัวบนตาชั่งเบาลง แต่ รูปร่างเป็นตะเกียบ ที่มีพุง มันแย่นะครับแบบนั้น

สำหรับบทนี้ผมก็ ไปเรื่อยๆของผม ถูกบ้าง ผิดบ้าง มีส่วนใด ไม่ดีก็ติติงกันได้ ครับ หวังว่าจะมี
ประโยชน์กันนะครับ ในบทหน้าก็ยังเป็นการ Diet เช่นเดิม แต่ จะเป็น ลักษณะ การกำหนด
ช่วงเวลาในการทาน Diet แบบ FastFive Diet(Fast-5)
ขอบพระคุณครับ



วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Caveman Diet

Diet

ในบท ต่อไปนี้ เป็นการพูดถึง Diet ที่เป็นการคุมน้ำหนัก หลายๆ
แบบ ทั้งที่เคยมีการพูดกันมาแล้ว และยังไม่มีการพูดกันมาก่อน ว่า
จริงๆแล้วมันคือ อะไร ยังไงกันแน่ การควบคุมน้ำหนัก ที่ได้ผล ที่มี
คนพูดกัน หนาหู บางทีก็เป็นกระแส อยู่ในสังคม มีการนำเสนอกันตาม
หน้าเวป ว่าสูตรนี้ได้ผลดี ถูกจริตกับเรา แต่จริงๆแล้ว Diet ที่ถูกกับ
เรา ถูกจริต กับเรามันคือ แบบไหน กันแน่

ไดเอต ส่วนใหญ่หากจะมองดูแล้ว จะมีความต่างกันที่ แนวคิด การจัด
สารอาหาร  โดยหลักๆแล้ว รวมๆจะมองว่า คาร์บ คือปัญหา  โดยจะมี
การจัดสัดส่วน ของอาหารใหม่ โดย ที่ผม มองเห็น ส่วนใหญ่จะไปให้ค่า
กับโปรตีน เพราะมองว่า โปรตีน เป็นสารอาหาร ที่อยู่ท้องอิ่มนานร่างกาย
ใช้เวลา และพลังงานในการย่อย ที่นานกว่า สารอาหารอื่น ทั้งยังเป็น วัตถุ
ดิบ ในการสร้างกล้ามเนื้อ ที่มีผลต่อการ สร้างกล้ามเนื้ออีก โดย ไดเอต
ส่วนมากจะเน้นไปในทางนี้คือ จัดการ กับคาร์บ ก่อน แล้วก็ อาจจะมี
แนวคิดในการ แบ่งแยก ช่วงเวลา โดยการนำผลในการวิจัย ทางโภชนา
การมาแบ่งแยก ช่วงเวลา หรือกำหนดการทานอาหาร เป็นช่วงๆ ออกไป
แล้วกำหนดเป็นสูตร แล้วถ้าใครดังหน่อยก็จะเขียนหนังสือขาย  สรุปสูตร
ออกมา หลายคนก็ลดได้ผลตามสูตรนั้นๆ แต่ลืมไปว่า มันอันตรายแค่ไหน
มันก็เหมือนกับการ ทานยาลดน้ำหนัก ที่ไปจัดการกับ ไทรอยซ์ ทำให้
อัตราเผาผลาญเพิ่มมากขึ้น แต่ทำไปนานๆ มารู้อีกทีว่า เราสารพัดโรคเลย
ก็สายเกินกว่าจะแก้แล้ว  แต่ทั้งนี้มันจะเป็นอย่างไรบ้าง ผมก็อยากจะให้
ผู้อ่านได้ลอง วินิจฉัย ด้วยตัวเอง เพราะ หากว่า มันถูกจริต กับ คุณ และ
เป็นประโยชน์ อยากลองทำก็ตามแต่ศรัทธา  คิดแล้วผลเสียที่ได้รับ 
เรารับได้ หากมองดูแล้วหักลบกลบหนี้กันแล้ว ได้มากกว่าเสีย อยากลองทำ
ก็ไม่ว่ากัน ไม่ห้าม เพราะของอย่างนี้ แล้วแต่ จริต คน ไม่เหมือนกัน 
บางคนทำแล้วดี เราจะไปห้ามไปขวางทางบุญเขาได้อย่างไร (พูดซะ
แก่เลย )

มาเข้าเรื่องกันดีกว่าครับ

Palo Diet หรือ เราเรียกกันว่า ไอเอต ยุคหินนั้น มีชื่อเรียก
อยู่หลายชื่อ ด้วยกัน บางคนอาจจะเรียกกันว่า Caveman diet
Paleo Diet,Stone age Diet,Hunter Gatherer
Diet

แต่ที่ผมรู้สึกชอบ และ ถนัดปากจะเรียก ก็น่าจะเป็น Caveman
Diet ในรูปแบบของมนุษย์ถ้ำ เป็นรูปแบบการ ไดเอต รูปแบบหนึ่ง
ที่เป็นทางเลือก สำหรับคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก  Caveman Diet
เป็นแนวคิด ที่มีการพัฒนา โดย Walter L.Voegtlin
แต่ก็มีการแตกสูตรออกไปมากมาย กลายเป็น แนวอื่นๆ แต่เท่าที่จะ
สรุปรูปแบบการ  ไดเอต รูปแบบนี้ได้คือ จะเน้นอาหารที่มีการจำลอง
มาจากอาหารของ มนุษย์ เมื่อ 20000 ปีที่แล้วที่ยังคงมีความเป็นสัตว์
ออกล่า อาหารเอง ซึ่ง จากการทดสอบ เปรียบเทียบ อาหารที่มนุษย์ ทุก
วันนี้ ได้รับส่วนมาก จะเป็น คาร์บ และ น้ำตาล เนื่องจาก เป็นอาหาร
ที่มีราคาถูก

อาหารราคาถูก ดังเช่นที่ มีคนเคยบัญญัติ ศัพย์ ไว้ว่า "กลไกเศรษฐิกิจ
มีผลต่อ กลไก ระบบเผาผลาญของเรา " แต่ผม ขอเสริมว่า ในยุคสมัย
แห่ง จักรวรรดินิยมอาหาร ราคาถูก และ รวดเร็ว เช่นนี้ จึงเป็นที่มา
การเจ็บป่วย สารพัดโรค  แนวคิดเช่นนี้เอง จึงเป็นส่วนหนึ่งของที่มา
การไดเอต รูปแบบ Caveman

ในการทดลอง โดยดูจากการโภชนาการ ของ มนุษย์ถ้ำ เมื่อ 20000ปีก่อน
พบว่าอาหารที่มนุษย์ถ้ำได้รับ นั้น เป็นอาหารที่มี ความโดดเด่น ในเรื่อง
ของการสร้างกล้ามเนื้อ  โดยเน้นไปที่อาหาร จำพวกเนื้อสัตว์ และ ผลไม้
พืชผักต่างๆ  โดยพืชผักที่ มนุษย์ถ้ำ ทานกัน เป็นพืชผักที่หาได้ตามพื้นที่
ทั่วไป ไม่ใช่ กากพืช ที่มนุษย์ ทุกวันนี้กินกัน คำว่า กากพืชนี้ หลายคน อาจ
จะไม่เข้าใจ การที่เราทานพืช ที่ผลิต ในดินที่ไม่มีคุณภาพ ดินที่อัด ปุ๋ยเข้าไป
ก็เหมือนการกิน กากพืช กากหญ้า เท่านั้น  การทานอาหารในแบบ Cave
man นั้น จะกินอาหาร โดยดูที่ความเป็นธรรมชาติ ห่างไกลจากการปรุงแต่ง
ไม่ทานโปรตีนจากนม  รวมทั้ง ทานอาหารแค่มื้อเดียวเท่านั้นในช่วงเย็น
พอจะสรุปรูปแบบการทาน อาหาร ของ สูตร Caveman Diet ได้ดังนี้


CaveMan diet ถูก แบ่งออกเป็น ช่วงๆ 3 ช่วงด้วยกัน

ช่วงที่1
 ช่วง1-2สัปดาห์ แห่งการปรับตัว อาหารที่ทานส่วนใหญ่
จะเป็นผักผลไม้ สดๆ ไม่ทานผลไม้แปรรูป ไม่ทานของ หมักดองใดๆ
ยิ่งเป็น ผลไม้ ผักสดๆที่เก็บใหม่ๆได้ยิ่งดี โดยในช่วงเช้า หลังตื่นนอน
ใหม่ๆจะทานน้ำเปล่า แก้วใหญ่ เพื่อทำการล้างพิษ หลังจากนั้น ในช่วง
เช้าระหว่างวัน จะเป็นการอดอาหาร โดยจะเริ่มทานอาหารในช่วงเย็น
เพียงแค่มื้อเดียวเท่านั้น

ช่วงที่2
สัปดาห์ที่ 2-6 เราจะเน้นอาหารไปในทางโปรตีน ธรรมชาติ จากสัตว์
ที่ทานอาหารธรรมชาติ เราจะไม่ทานเนื้อสัตว์ ที่ทานอาหารเม็ด เราจะทาน
เฉพาะอาหารจาก ที่มาจากธรรมชาติเท่านั้น สัตว์ที่กิน ต้องกินอาหาร
ตามธรรมชาติของมัน พวกหญ้า ฟาง เราจะไม่รับสารแปลกปลอมใดๆก็ตาม จากอาหาร
ที่เราทาน เพราะสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้ เป็นที่มาของ อาการผิดปกติ ใน
มนุษย์  ในช่วงเช้า จะทานน้ำเปล่า แก้วใหญ่ ล้างพิษเช่นเดิม หลังจากนั้น
ก็อดอาหารเช่นเดิมในช่วงเช้า แล้ว ก็จะเริ่มทานอาหาร ในช่วงเย็น เพียง
มื้อเดียว โดยอาหารที่เน้นจะเป็นอาหาร จากเนื้อสัตว์  ไข่ ผลไม้ ถั่ว ไม่กิน
มันฝรั่ง ไม่ทาน โปรตีนใดๆก็ตามจากนม

ช่วงที่3
หลังจาก สัปดาห์ที่ 6 จะเป็นช่วงที่ เริ่มอยู่ตัว เราได้ทำการ ไดเอต วิธีนี้
จนรู้สึกได้ว่าเป็นธรรมชาติ ของเราไปแล้ว สูตรอาหารที่กินก็ยังเป็นเช่นเดิม
เพียงแต่ในระหว่างวัน หากหิว เราสามารถ หาเนื้อสัตว์  ปลา เมล็ดพืช
ถั่ว มาทานได้ 

ข้อดี
1.วิธีไดเอต รูปแบบ Cave นี้ จากการทดสอบ พบว่า ผู้ที่ทานอาหาร
ตามสูตรนี้ ได้รับ ไฟเบอร์ประมาณ 100 กรัม ต่อวัน มากขึ้นจาก
อัตราปกติที่ RDI กำหนดเอาไว้ว่าควรได้รับที่ 20-30 กรัมต่อวัน 
ซึ่งในชีวิต มนุษย์ปกติ นั้น จะส่วนใหญ่จะได้รับไฟเบอร์ เพียงวันละ 10
กรัม เท่านั้น เนื่องจาก ไฟเบอร์ เป็นอาหาร ที่ไม่ให้พลังงาน แถมยัง
มีกากใย ช่วยในการ ทำความสะอาดลำไส้ ป้องกัน มะเร็งในลำไส้ได้
จึงเป็นส่วนที่ดี แต่ กากใย นั้นมาจาก อะไร ก็มาจากการทาน ผักผลไม้
ที่ไม่ผ่านการดัดแปลง เราทานสด ทานเปลือกมันด้วย มันก็ได้กากใย
ตามธรรมชาติอยู่แล้ว

2.Micronutrients ซึ่ง เป็น จุลโภชนาสาร ที่มีประโยชน์
ต่อร่างกายใน อัตราที่พอเพียง อีกด้วย รวมทั้งได้รับ Phytochemicals
ซึ่งเป็นสาร เคมี ที่มีใน พืช ช่วยในการ ป้องกันโรคต่างๆ ต้านอนุมูลอิสระ
ได้อีกด้วย พืชผัก ที่ไม่ผ่านกรรมวิธีมาก ก็ย่อมได้รับ สารอาหารที่จำเป็น
มากขึ้นด้วย

3.ทำให้ระดับน้ำตาล ในเลือด เนื่องจาก เป็นการควบคุมปริมาณ อินซูลิน
ที่สมองสั่งออกมา ให้ทำการ รักษาระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อทานคาร์บน้อย
อินซูลินก็น้อยไปด้วย ทำให้ ระดับน้ำตาลในเลือดไม่สูง

4.สารอาหารที่ได้ อย่างโปรตีน สร้างกล้ามเนื้อ ทำให้ มีความแข็งแรง
และระบบเผาผลาญดีขึ้นได้ หากมองว่า กล้ามเนื้อ ทำให้ ระบบเผาผลาญ
ดีขึ้น ในมุมนี้ก็มองได้

5.ทานโปรตีนมาก โปรตีนเป็น สารอาหารที่ อยู่ท้อง ใช้พลังงานในการ
ย่อยก็นาน กว่าจะนำไปใช้ได้ ต่างจากคาร์บ ที่ย่อยเร็ว ยิ่งเป็น น้ำตาลเชิง
เดี่ยว อย่างพวกน้ำหวานอีก ยิ่งย่อยเร็วเข้าไปใหญ่

ข้อเสีย

1.การทานอาหารที่เน้น สารอาหาร ประเภท โปรตีน ที่มาก ก็เลี่ยงไม่ได้
ที่ร่างกาย เราจะมีสถานะความเป็นกรด ซึ่งร่างกายในสถาวะ ปกติ ควรมี
ความเป็นด่างเล็กๆด้วยซ้ำ การที่ร่างกายมีสภาวะ ความเป็นกรด นั้นมี
ข้อเสียคือ ร่างกายต้องขจัด กรดออกไป ไม่เช่นนั้น ร่างกายจะไม่สามารถ
รับ แร่ธาตุอย่างแคลเซี่ยมได้ ทำให้ เกิดภาวะกระดูกพรุนได้ จริงๆ ถ้า
ให้พูดมากกว่านี้คือ แม้คุณจะ ทานนม เสริมแคลเซียม ก็ไม่ได้ช่วยเลย
เพราะ การที่ นม มีโปรตีนมาก ถ้าหากเรารับ โปรตีนที่เกินกว่าร่างกาย
ได้รับ แม้ นมนั้นจะมีแคลเซียม แค่ไหน ด้วยความ ที่ แคลเซียม มีความ
เป็นด่าง มาอยู่ในสภาพความเป็นกรด ของร่างกาย ผลที่ได้คือ ร่างกายขาด
แคลเซียม ทั้งที่ กิน นม เสริมแคลเซีมแท้ๆ

2.ไตทำงานหนัก เนื่องจาก ต้องรักษา สมดุลย์ ความเป็นกรด ด่างในร่างกาย
โปรตีน เป็นสารอาหารที่มีความเป็น กรด เพราะมีไนโตรเจนสูง ร่างกายต้อง
ขจัดออก โดยการเปลี่ยนเป็นกรด ยูริก ขับถ่ายออกมาทางปัสสาวะ แต่ถ้าเรา
อยู่ในสภาวะความ เป็นกรด นานๆ จากการทานโปรตีน ผลที่ได้คือ ไตทำงาน
หนักอยางต่อเนื่อง โดยที่เราไม่รู้ตัวเลย ไตทำงานหนัก อันตรายนะ เราไม่ควร
ไปโหลดภาระ เพิ่มให้กับไต โดยไม่จำเป็น เพราะปกติ ไตก็ทำงานหนักอยู่แล้ว

3.การที่จำกัด คาร์บ ทำให้ระดับ น้ำตาลในเลือดต่ำ สมองรับรู้ ได้ช้ากว่า
ความเป็นจริง พอสมองรับรู้ว่า น้ำตาลในเลือดต่ำ มันก็จะหิวตลอดเวลา

4.การทานอาหาร แค่มื้อเดียว ในชีวิตประจำวันที่เราต้องทำงานกันตลอดทั้งวัน
เป็นไปได้ยาก เราไม่ได้ กลับบ้านแล้ว นอนเลยเหมือนสมัยก่อน ที่ มนุษย์
ออกล่าสัตว์ แล้วเข้าถ้ำนอนได้เลย เราต้องกลับมาทำงาน ทำการบ้าน เลี้ยง
ลูก ต้องใช้แรงต่อไปอีก ทั้งเช้า ทั้งเย็น การอดอาหารเช้าแล้วเรายังต้องโหน
รถเมล์ ดีหน่อย ก็ ขับรถเอง แต่ก็ต้องไปรถติด หงุดหงิดอีก หิวอีก ไหวเหรอครับ
ที่จะทานอาหาร มื้อเย็นมื้อเดียวแบบนี้

5. การทานอาหารมื้อเดียว มากๆทีเดียว ที่แทบจะเรียกได้ว่า อัดกันเข้าไป
มันมีผลให้ กระเพาะ ทำงานหนักกว่าปกติ ที่กระเพาะ จะทำงาน เพียงแค่
30 %ของความจุที่มันทำได้ ต้องมาทำงานหนัก ต้องมาขยายตัว กว่า 70 %
ทำให้เกิดอาการ คลาด ของกระเพาะ โดยไม่จำเป็นอีกด้วย

6.อาหารที่บริสุทธิ์ เพียวจริๆง ไม่ผ่านกระบวนการใดๆเลย สำหรับคนใน
ชนบท อาจจะพอหาได้ แต่ถ้าคุณทำงานในเมือง มันยาก แม้ว่าในห้างสรรพ
สินค้าจะมี ให้เลือก แต่ก็แพง แล้วก็ไม่รู้ เพียว จริงรึเปล่า  เนื้อสัตว์ ก็ต้อง
มาจากสัตว์ ที่ไม่กินอาหารเม็ด ไม่มีการฉีดฮอโมนส์ เพราะเราไม่อยาก
ได้ส่วนเกิน พวกนี้มาด้วย ในความเป็นจริงทำยาก เว้นแต่ จะทำสวน ทำ
ไร่ ทำฟาร์มเอง ฆ่าหมู ฆ่าวัวกินเอง

7.มนุษย์ในปัจจุบัน ไม่ได้ต้องการ โปรตีน เพื่อไปพัฒนากล้ามเนื้อมาก
เหมือนสมัย ดึกดำบรรพย์ เราต้องการ สมอง ต้องการ พลังงาน สมองมากว่า
แล้วเราทาน คาร์บ น้อยๆ อาหารเช้าก็อดอีก สมองมันจะทำงานดีได้ยังไง
ไปทำงานก็สมอง ทึบๆไป ใครทักก็ งงๆ  คือ เราจะเอากล้ามเนื้อ ขนาดนั้น
ไปทำไม ในเมื่อเราไม่ได้ ไปล่าสัตว์ อีกแล้ว

8.การทานโปรตีนมาก ร่างกายก็ต้อง เหนื่อยในการย่อยมาก เพราะโปรตีน
ใช้พลังงานในการย่อยสูง การทานโปรตีน ไม่ควรเกิน 3.3 กรัมต่อน้ำหนัก
ตัว 1 กิโลกรัม ไม่งั้นร่างกายอาจจะมีสภาวะ อาการเหนื่อยล้า อ่อนเพลียได้
เพราะปกติ มนุษย์เราจะได้รับโปรตีนไม่เกิน ความต้องการร่างกายแน่ๆ
แต่หากเน้นโปรตีนมาก มันก็เป็นอีกเรื่องนึง ที่อาจจะเกินได้
 

สรุป
ผมเคยได้ยิน หลายคน เน้นว่า หลายคน ที่ ไดเอต วิธี นี้ แล้วบอกว่าดี
ร่างกายดี แข็งแรง  ซึ่งผมก็เชื่อว่า อาจจะเป็นได้จริง เพียงแต่ ขอให้ ทำ
การ diet เพื่อเป็นทางเลือกเท่านั้น ทำแค่ช่วงสั้นๆ ไม่ทำต่อเนื่อง
จนนานเกินไป  โดยถ้าต้องการจะทำจริงๆ ควรทำการ ดัดแปลง สูตร
ไดเอต นี้ใหม่ เป็นแบบ ที่เป็นไปได้จริงๆ เพราะตัวจริงของสูตร Cave
man Diet ก็ผ่านการดัดแปลง แตกสูตร มาหลายครั้งแล้ว บางที
สูตรที่ คุณ คิด และ ดัดแปลงเอง อาจจะดีกับคุณก็ได้  แต่ทั้งนี้ ก็ขอให้ทำ
ในระดับที่ พอเพียง หากลดได้แล้ว ก็ขอให้ กลับมาทานอาหาร แบบปกติ
ที่่ร่างกายควรจะได้รับ เพราะเราไม่ใช่ มนุษย์ ถ้ำอีกแล้ว เราไม่อาจทาน
อาหาร และสารอาหาร แบบ เมื่อ 20000 ปีก่อนได้  เราห่างจากความเป็น
สัตว์มามากแล้ว เราไม่ได้ต้องการ กล้ามเนื้อ ขนาดนั้น เราต้องการใช้สมอง
ในการทำงานมากกว่า


 ฝากไว้เพียงเท่านี้ครับ ในบทต่อไป ผมจะพูดถึง การ Diet ที่เคยพูด
ถึงกันมาช่วงหนึ่ง  นั่นคือ Dukan Diet ว่ามันคืออะไร มีประโยชน์
อะไรยังไง โทษ มียังไง สำหรับบทนี้ หากมีส่วนใด ผิดพลาดประการใด
ก็ขอน้อมรับไว้แต่ผู้เดียว เนื่องจาก ผมไม่เคยใช้สูตร ไดเอต นี้ มาก่อน
เป็นแค่เพียงข้อมูลและ ทัศนะ ส่วนตัว  ขอบพระคุณครับ



วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

โปรตีน ไขมัน คาร์บ ATkins Diet

สารอาหาร หรือ หมวดหมู่ของอาหาร ที่เราทานกัน ในทุกวัน
สามารถที่จะแบ่ง ออกมาเป็น หมวดหมู่ได้ 5 หมู่ แต่ที่เรา
จะมาพูดถึงกันในบทนี้ เราจะพูดถึง เพียง 3 หมวดหมู่เท่านั้น
คือ
1. โปรตีน 2.คาร์โบไฮเดรต 3.ไขมัน

ถามว่าทำไม ก็เพราะ สารอาหาร ทั้ง 3 ชนิดนี้ เป็นสารอาหาร
ที่ล้วนแต่ให้พลังงาน กับเรา  ขอให้นึกไว้ว่า สารอาหารที่ได้รับ
เรารับเกินไม่เป็นไร แต่ อย่าให้เกินในส่วนของ พลังงานที่ได้รับ
ต่อวัน

DRI(Daily Reference Intake)คือ
ปริมาณสารอาหารที่เราควรได้รับต่อวัน เพื่อให้มีสุขภาพ
ที่ดี ทั้งนี้ ค่า DRI จะขึ้นอยู่กับ อายุ ขนาดร่างกาย รวมทั้ง
ส่วนประกอบของร่างกาย ซึ่งในความเป็นจริง มีตัวแปรมากมาย
แต่เราก็อาจจะ คำนวณคร่าวๆได้ จากสูตร ของHoliday
Segar โดยมีหลักการคิด ดังนี้
น้ำหนัก 10 กิโลแรก  = 100 kcalต่อน้ำหนักตัว1 กิโลกรัม ต่อวัน
น้ำหนัก 10 กิโลกรัม ต่อมา =50 kcal ต่อน้ำหนักตัว1กิโลกรัม ต่อวัน
น้ำหนักที่เหลือ  = 20 -30 kcal ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อวัน

เช่น หากมีน้ำหนักตัว 73
น้ำหนักตัว 10 กิโลแรก = 10x100 = 1000 kcalต่อวัน
น้ำหนักตัว 10 กิโล ถัดมา = 10 x 500 = 500 kcal ต่อวัน
น้ำหนักตัว ที่เหลือ อีก 53 กิโล ถัดมา = 53 x 20 = 1060 kcal ต่อวัน
สรุปได้ว่า พลังงาน ที่ควรได้รับต่อวัน เพื่อให้ ร่างกายทำงานได้อย่างปกติ
= 1000+500+1060 = 2560 ซึ่งค่า DRI อันนี้เป็นค่าประมาณการ์ณ
คร่าวๆ สารอาหารที่ควรได้รับต่อวัน เพื่อให้สุขภาพดี จะแตกต่างจากการ
คำนวณ ในบทที่แล้ว แต่ก็สามารถนำมา คำนวณคร่าวๆได้เช่นกัน

สารอาหาร ในที่นี้ เราจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ที่ให้พลังงาน
คือ 1.โปรตีน 2.ไขมัน 3. คาร์โบไฮเดรต

โปรตีน ถือเป็นสารอาหาร ชนิดหนึ่ง ที่ร่างกายสามารถนำมาใช้
เป็นพลังงานได้ แต่ เพื่อผล ในการ ควบคุมน้ำหนัก และ การเวท
เทรนนิ่ง เราจะให้ถือว่า โปรตีน เป็นวัตถุดิบใน การ สร้างกล้ามเนื้อ

โปรตีน ถือเป็น สารอาหารที่มีผล ต่อการ ลดน้ำหนักมาก ในคนที่ต้องการ
ควบคุมอาหาร ลดน้ำหนักเนื่องจาก กระบวนการในการลดน้ำหนัก
และการ ออกกำลังกาย เป็นกระบวนการที่ทำให้ เราต้องสูญเสีย มวลกล้ามเนื้อ
ไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ โปรตีน เป็นสารอาหาร ที่ ช่วยในการซ่อมแซม สร้าง
กล้ามเนื้อ ให้คงอยู่ หลายคนอาจจะ ถามว่า แล้ว โปรตีน จะช่วยลดน้ำหนักได้ยังไง
คำตอบคือ การที่ โปรตีน เป็นสารอาหาร ที่ รักษามวลกล้ามเนื้อ เอาไว้ จึง ถือได้ว่า
เป็นสารอาหาร ที่รักษาสมดุลย์ ของ การเผาผลาญด้วยเช่นกัน

ในผู้ที่ลดน้ำหนัก มักจะลด พลังงานที่ได้รับไปในแต่ละวัน แต่ให้นึกไว้ว่า จะต้อง
ทานโปรตีน มากกว่าในคนปกติ หมายความว่า คุณอาจจะ ทำการ ควบคุมอาหาร
โดยการ ลดพลังงานที่ได้รับในแต่ละวัน  คุณอาจจะไปลด ในส่วนของ ไขมัน
และ คาร์บ ลง ก็จริง แต่ ควรจะรับ สารอาหาร ประเภทโปรตีน มากกว่า เดิม
เหตุผล คือ เพื่อ รักษา กล้ามเนื้อ ไว้ ลด สารอาหารตัวอื่น แต่ ไปเพิ่ม โปรตีน
เพราะโปรตีน ช่วยรักษา อัตราเผาผลาญได้

นอกจากนั้น โปรตีน ยังเป็นสารอาหาร ที่ใช้เวลาในการดูดซึม ที่นานกว่า คาร์บ
จึงทำให้เรารู้สึก อิ่ม กว่า คาร์บ เนื่องจาก กว่าที่โปรตีนจะย่อยจนหมด สมองของเรา
ก็สามารถรับรู้ได้แล้วว่า อิ่ม เหตุผลหนึ่ง ที่ คนกิน น้ำตาล และแป้ง อ้วนง่าย เพราะ
สมองรับรู้ ได้ช้า เนื่องจาก คาร์บ ดูดซึมเร็ว  กว่าเราจะรู้สึกอิ่ม เราก็ ทานจนเกินความ
ต้องการของร่างกายแล้ว ดังนั้น ผมจึงมองว่า การดูดซึม และความรับรู้ ที่เร็ว และช้า
ของสมอง ที่จะสั่งการ ว่าอิ่ม แล้ว หรือยังไม่อิ่ม มีความสำคัญต่อการลดน้ำหนักมาก
สำหรับในคนที่ต้องการลดน้ำหนัก แนะนำให้ทาน โปรตีน 1.8-2.2 กรัม ต่อน้ำหนักตัว
1กิโลกรัม  แต่เนื่องจาก โปรตีน เป็นสารอาหารที่ร่างกาย ใช้เวลาในการย่อยนาน
 และ ใช้พลังงานที่มากในการย่อยจึงไม่ควร ทานเกิน 3.3 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
เพราะ จะทำให้ร่างกาย รู้สึก เหนื่อยได้

ร่างกายของเรานั้น จะนำ โปรตีน ไปใช้ในการสร้าง
กล้ามเนื้อก็จริง แต่ ร่างกาย ไม่ได้มีความต้องการ สารอาหาร
ชนิดนี้อยู่ตลอดเวลา  ดังนั้น ควรจะทานในประมาณ ที่น้อย เรื่อยๆ
โดยอาจจะแบ่งเป็นมื้ออาหาร  ย่อยๆ6 มื้้อแล้วทาน เป็นมื้อเล็กๆ
เพื่อที่ร่างกายจะได้ดูดซึมไปใช้ประโยชน์ ได้ในเวลาที่ต้องการ
ร่างกายจะมีความต้องการ โปรตีน มากหลังจากที่เรา เล่นเวท จึง
ถือเป็นช่วงเวลาที่ดี ที่เราจะทานสารอาหาร ประโภท นี้เพื่อ
เสริมสร้างกล้ามเนื้อ

สำหรับในรายละเอียดแล้ว โปรตีน ถือเป็น กรดอะมิโน ที่รวมตัว
เข้ากับ ไนโตรเจน แบ่งเป็น กรดอะมิโนที่จำเป็น และไม่จำเป็น
สำหรับ กรดอะมิโนที่จำเป็น คือ กรด อะมิโนที่ร่างกาย ไม่อาจสร้างเองได้
และ กรดอะมิโน ที่ไม่จำเป็น คือ ร่างกายสามารถสร้างได้ ซึ่งผม
จะไม่ลงลึกไปกว่านี้ เพราะ มันเป็นรายละเอียดที่ปลีกย่อยมาก

สารอาหารต่อมาที่จะพูดถึง คือ

คาร์บ เป็นสารอาหารที่มีความจำเป็น ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่า
เป็นพลังงาน หลักของ ร่างกายเรา ทีเดียว แต่ก็มีการพูดถึง การไดเอท
แบบที่เรียกว่า Atkins Diet อยู่เหมือนกัน ซึ่ง ก็คือ
การเลือกทานปริมาณสารอาหาร บางชนิด แทนการ ทานคาร์บ
อย่างเช่นการทาน เนื้อ แทน การทานแป้ง  ซึ่งสำหรับผมแล้ว
มองว่า เป็นสิ่งที่อันตราย เนื่องจาก ผมเคยปฏิบัติมาแล้ว มันทำให้
หงุดหงิด แล้วก็ ในระยะ 1 สัปดาห์แรก จะรู้สึกไม่มีเรี่ยวแรงเลยทีเดียว
ซึ่งผมเคยทำอยู่ เดือนกว่าๆ ก็ได้ผลที่ดีมาก  น้ำหนักลง อย่างเร็วมาก
ลงเป็นสิบๆกิโล มันมากจนน่าตกใจเลยทีเดียว แต่สำหรับผม จากที่ศึกษามา
มองว่าเป็นวิธีที่อันตรายเนื่องจากว่า การ เลิกทานคาร์บ จะทำให้ ร่างกายไปเผาผลา
เอากับ ไกลโคเจนในร่างกายแทน การเผาผลาญจาก คาร์บ และ ไขมัน
ทำให้ ระบบเผาผลาญต่ำลงได้แต่ในบทนี้ ผมก็ขอเสนอ บทความโดย รอบด้าน
โดย จะบอกถึง งานวิจัย ของ ชิ้นหนึ่งของมหาลัยstan ford ที่ทำการวิจัย
เปรียบ เทียบ การลดน้ำหนักด้วยวิธีการ กำหนดสัดส่วน
ของสารอาหาร เป็นแบบต่างๆ เช่น
แบบที่1 ทานคาร์บ น้อยกว่าสูตร ATkins Diet
แบบที่2 ลดปริมาณการทาน ไขมัน แต่ไปเพิ่มการทาน คาร์บ
แบบที่3 เพิ่มปริมาณการทาน คาร์บ
ซึ่งผลที่ได้จากการ วิจัย ปรากฏว่า ATkins Diet ลดน้ำหนักดีกว่า แบบอื่น ๆคือไวกว่า
ซึ่งส่วนตัว ผมมองว่า ATkins Diet ทำให้ น้ำหนักลงเร็วก็จริง แต่ก็ร่างกายเหลว
และก็ไม่แข็งแรง อีกทั้ง การ ลดคาร์บ มากๆ แล้วออกกำลังกาย ยังอาจทำให้ เกิดการสลาย
กรดยูริกในกระแสเลือดเพิ่มมากขึ้น จนเกิดโรคเก๋า ได้ และยังอาจมีผลต่อ ต่างกายคือ โรคไต
และโรคหัวใจได้

สรุป คือ ผมมอง โดยส่วนตัวว่า ATkins Diet ลดน้ำหนัก ได้เร็วกว่า วิธีการอื่น
การงดทาน คาร์บ อาจจะทำให้ น้ำหนักตัว ลงได้เร็ว แต่มีผลต่อสุขภาพ เพราะผมเคยลองแล้ว
มันเร็วจริงๆ แต่ช่วงที่น้ำหนักลง สุขภาพไม่ดีเลย ป่วยบ่อยมาก ร่างกายอ่อนแอ มาก ซึ่งวิธีนี้ผมเคยทำถึง 2 ครั้ง ครั้งสุดท้ายที่ทำ 3เดือนกว่า ผอมจนตัวลีบทีเดียว แต่รู้สึกว่าตัวเองอ่อนแออมากเวลาทำงาน จะรู้สึก เวียนหัว เหมือนอาการ บ้านหมุนตลอดเวลา  ไม่แนะนำให้ทำเพราะการคาดหวังแต่ น้ำหนักตัวที่ลดลง โดยไม่ได้คิดถึงสุขภาพ โดยรวม นั้น มันได้ไม่คุ้มเสียจริงๆ

นอกเรื่องมาไกล แล้ว ต่อไป จะเป็นการพูดถึง คาร์บ กันจริงๆ ซักที

คาร์บ คือสารอาหารที่ ให้พลังงานแก่ร่างกาย หากร่างกาย ขาด คาร์บ ไปร่างกายจะไป เอา
ไกลโคเจนมาเป็นพลังงานแทน โดยระบบนี้ เราจะเรียกกันว่า Gluconeogenesis
ซึ่งระบบนี้ เป็นระบบ การรักษาระดับน้ำตาล ในเลือด หากว่า ร่างกายขาด คาร์บ ร่างกายก็จะ
เข้าสู่ระบบ Gluconeogenesis  ซึ่ง ร่างกายจะนำเอา ไกลโคเจน ในกล้ามเนื้อ หรือ
ไตรกลีเซอไลน์ ( ไขมันที่เก็บในร่างกาย ที่อยู่ในเซลล์ ) ออกมาเป็นพลังงาน

 Gluconeogenesis

1.ไพรเวท แลคเตท การเปลี่ยน ไกลโคเจน ( คาร์บที่เปลี่ยนรูป ไปสะสมอยู่ในกล้ามเนื้อ )โดยจะสะสม
อยู่2แห่ง คือ ในกล้ามเนื้อประมาณ 400 kcal  ในตับประมาณ 100kcal แต่ เราก็สามารถเพิ่มความจุใน
การสะสม ไกลโคเจน ในกล้ามเนื้อได้ สูงสุดถึง 2000kcal โดยการ ออกกำลังกาย ทำใหกล้ามเนื้อ
ผลิตพลังงานได้มากขึ้นด้วย ด้วยการ ออกกำลังกาย

2.กลีเซอรอล เป็นกระบวนการ สลายไขมัน เป็นพลังงาน  แต่กระบวนการเปลี่ยนไขมัน เป็นพลังงาน
จะมีผลกระทบ เนื่องจาก การเผาผลาญไขมัน แบบนี้ใช้เวลานาน และยังเกิด  ketoneBodies ทำให้เลือดมีสถาวะเป็น กรด  ที่เรียกกันว่า ภาวะ ketosis

โปรตีน เมื่อเข้าสู่ร่างกาย จะถูกย่อยสลาย เป็น Glucose (กลูโคส)
และถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ถ้าหากว่า ร่างกายเรามี
ปริมาณของ กลูโคสมากๆ จนเหลือใช้ ก็จะ ถูกสะสมไปเป็น
Glycogen (ไกลโคเจน) ในตับ และกล้ามเนื้อ แต่หากว่าเก็บใน
รูป ไกลโคเจน จนเต็มที่แล้ว ก็จะ ถูกเก็บในรูปของ Fatty Acids
หรือ กรดไขมันนั่นเอง ซึ่งเป็นที่มาของ การทาน คาร์บ แล้วอ้วน เนื่องจาก
กรดไขมันจะไป เก็บในเนื้อเยื่อไขมัน เพราะมีพื้นที่เก็บมาก และเก็บได้
อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

แต่ทั้งนี้ คาร์บ ยังมี อีกรูปแบบ ซึ่ง จะไม่ให้พลังงาน แก่ร่างกาย เราจะเรียก
คาร์บ ลักษณะนี้ว่า ไฟเบอร์  เนื่องจากร่างกาย คนเรา ไม่มีเอนไซส์
ที่จะย่อย ไฟเบอร์ ได้ ไฟเบอร์ จึงไม่อาจเปลี่นเป็นพลังงาน สะสมในร่างกายได้
แต่จะมีหน้าที่ ทำความสะอาด ลำไส้แทน

ปริมาณ คาร์บ ควรอยู่ที่ 45-65 %ของอาหารที่ทานทั้งวัน ควรทานคาร์บไม่ให้ต่ำกว่า
130 กรัม ต่อวัน เพื่อป้องกันการเกิดภาวะ เลือดเป็นกรด


สารอาหารตัวที่ 3 คือ ไขมัน
ความต้องการ ไขมัน ต่อวัน ตามที่ DRI กำหนด
อยู่ที่ 20-35 % ของปริมาณแคลอรี่ ที่ต้องการในแต่
ละวัน แต่ไขมัน ต้องเป็นไขมันที่มีกรดไขมันที่จำเป็น
(Essential Fattyacid)
โดยมีประมาณกรดไขมัน โอเมกา 3 และ โอเมกา 3
ในสัดส่วนที่เหมาะสม  สรุปควรเป็นไขมันที่ดีต่อสุขภาพ

วิธี คำนวณ ประมาณ ไขมันที่ ควรได้รับ ต่อวัน

สมมุติ คุณ คำนวณ เป้าหมาย แคลลอรี่ ไว้ที่
วันหนึ่ง  1500 แคลลอรี่ จากความต้องการไขมัน
 วันละ 20-35 % ดังนั้น คุณควรได้รับ ไขมัน
ขั้นต่ำ 1500 คูณ 0.20 = 300แคลลอรี่ต่อวัน หรือ
มากสุด ไม่เกิน 1500 คูณ 0.35 = 525 กรัมต่อวัน

จากนั้นก็ค่อยมาแปลง จำนวนกรัม เป็นไขมัน
ที่ทาน ซึ่ง 1 กรัมให้พลังงาน 9 แคลลอรี่
ก็จะได้การคำนวณ ดังนี้คือ  300ถึง525 แคลลอรี่ต่อ
วัน = 300 เอาไป หารกับ 9 = 33.3 กรัมต่อวัน
หรือ 525 หาร 9 =58.3 กรัมต่อวัน


ไขมันดี ช่วยสร้างฮอร์โมน

ถ้าไขมันที่ดี  หรือ กรดไขมัน จำเป็น มีน้อย ก็จะทำให้
การสร้างฮอโมนเทสโทสเทอโรน ลดลง ท้งใน
ชาย และ หญิง ทำให้เกิดการสูญเสีย มวลกล้ามเนื้อ
ได้ง่าย  ลดน้ำหนักลงได้ยากขึ้น  และจะเกิด
ปัญหาอื่นๆตามมาอีกมาก  แต่ทั้งนี้หมายถึง ไขมันดีต่อสุข
ภาพเท่านั้น

มีการศึกษามาแล้วว่า ชายที่ได้รับไขมัน ที่ดี ต่อสุข
ภาพที่น้อยกว่า 20% ของแคลลอรี่ที่ต้องได้รับ
ต่อวัน ทำให้ระดับ ฮอโมน เทสโทสเทอโรน ลดลง
กว่า ชายที่ได้รับ ไขมันดี 40%

มีงานวิจัย ที่ตีพิมพ์ใน Journal of Clinical
Endocrinology & Metabolism ได้
ทำการติดตาม กลุ่มชาย ผิวขาว ที่เปลี่ยนจากากรทานไขมัน
30% เป็น แค่ 15% ของแคลลอรี่ทั้งหมด  ผ่านไป
8 สัปดาห์ พบว่า มีฮอโมน Testorsterone ซึ่งเป็นฮอ
โมนเพศชาย มีระดับ ลดลง 12% นอกจากนี้ การได้รับไขมัน
ที่ดีต่อสุขภาพน้อยเกินไป ยังทำให้ estradiol
และ Testorsterone ในหญิงลดลงด้วย

Testorsterone เป็น ฮอโมน เพศชาย ที่มีในทั้งผู้ชาย
และหญิง ซึงตัว ฮอโมน ตัวนี้ เป็น ฮอโมน ที่ทำให้ผู้ชาย
สามารถมีกล้ามเนื้อ ที่แข็งแรงได้ ในเพศหญิง จะมีฮอโมน
ที่เรียกว่า เอสโตร เจน  ซึ่งเป็นฮอโมนที่ แสดงลักษณะ
ทางเพศหญิง คือ จะมีผิวที่เนียน และ เนื้อตัวนุ่มนิ่ม อีกทั้ง
ตัวฮอโมน เอสโตรเจน ในหญิง ยังเป็นตัว สะสม ไขมัน
เนื่องจาก ใช้ในการ ตั้งครรภ์อีกด้วย ซึ่งถ้าหาก ผู้ชาย
หรือผู้หญิง ต้องสูญเสีย ฮอโมน Testorsterone ไปก็
หมายถึง การสะสมไขมัน ที่จะมีมากขึ้น ทำให้ อ้วนได้ง่าย
ดังนั้น การทาน ไขมัน เพื่อให้ ร่างกายรักษา Testorsterone
ไว้จึงมีผลในทางลดน้ำหนัก รักษากล้ามเนื้อ ด้วยเช่นกัน

การลดลงของฮอโมนเทสโทสเทอโรน ในชาย
ส่งผลให้เกิด ภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพ ความแข็งแรง
ลดลง เสื่อมสมรรถภาพ  สูญเสียมวลกล้ามเนื้อ และ
เปอร์เซ็นไขมันเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่า ในหญิงมีระดับ
เทสโทสเทอร์โรน ที่น้อยกว่าชาย อยู่แล้ว ก็ยิ่งทำให้
น้อยลงไปอีก ซึ่งจะส่งผลให้เสื่อมสมรรถภาพ มีปัญหา
ทางสุขภาพจิตร และน้ำหนักขึ้นได้ง่าย

ไขมันดี ช่วยสร้าง วิตามิน
a d e k สามารถละลาย ได้ในไขมันเท่านั้น
หากมีไขมันจำเป็น ที่้น้อยเกินไป อาจทำให้
ร่างกายขาดวิตามิน เพราะไม่สามารถ ดูดซึม วิตามิน
นั้นได้  แต่ต้องเป็นไขมันดีเท่านั้น

กินไขมันไม่ควรเกิน 30 %
ถึงแม้ว่า ไขมันจะจำเป็นต่อร่างกาย แต่อย่าลืม เหลือ
ที่ไว้ให้โปรตีน กับ คาร์โบไฮเดรต ในสัดส่วน ที่
เหมาะสมด้วย  สัดสส่วนสารอาหารที่ควรได้รับ ดังนั้น
ควรได้รับไขมันชนิดที่ดีต่อสุขภาพ ไม่เกิน  30%
ของ แคลลอรี่ทั้งหมด ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้ ลดน้ำหนัก
อย่างมีสุขภาพดี

ควรเลี่ยง ไขมัน ทรานส์

ไขมัน ทรานส์

ตามปกติ ที่เราเคยเรียนรู้กันมาคือ ควรทานกรดไขมัน
ไม่อิ่มตัว แต่ให้เลี่ยงกรดไขมัน อิ่มตัว ( ยังเป็นที่ถก
เถียงกันในแวดวงสุขำาพ เกี่ยวกับ น้ำมันมะพร้าวที่
มีกรดไขมันอิ่มตัวที่สูง แต่ดี ต่อสุขภาพ)

ไขมันทรานส์  มีทั้งที่เกิดจาก กระบวนการทาง ธรรม
ชาติ และเกิดจาก การแปรรูป โดย มนุษย์

ไขมันทรานส์ ที่เกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติ พบได้
ในเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์ นม แต่มีในปริมาณที่น้อย
มาก และยังไม่มีข้อสรุปว่า ไขมัน ทรานส์ที่เกิดจาก
การกระบวนการทางธรรมชาติ จะเลวร้ายเหมมือนไขมัน
ทรานส์ที่เกิดจาก การแปรรูป

ไขมันทรานส์ แปรรูป มักพบใน พิซซ่า เบเกอร์รี่
ขนมขบเคี้ยว โดนัท พาย คุกกี้ แคร็กเกอร์ ครีมเทียม
วิปปิ้งครีม มาการีน ร้านอาหาร ฟาสท์ฟู้ด ต่างๆของ
ทอดต่างๆ เพราะว่าไขมัน ทรานส์ สามารถ ทอดซ้ำๆ
กันได้ โดยไม่ทำให้น้ำมัน เปลี่ยนสี ร้าน ฟาสฟู้ดก็เลย
ใช้น้ำมันประเภทนี้

ไขมันทรานส์ เป็นไขมันที่เกิดจาก กรดไขมัน ไม่อิ่ม
ตัว ที่แปรรูปทางเคมี โดยการเติม ไฮโดรเจนลงไป
เพื่อเปลี่ยนสภาพให้เป็นน้ำมันที่ จากเดิม เหลวๆ เป็น
หืน ง่าย ให้มีความแข็ง หรือกึ่งแข็งกึ่งเหลว  จุดประสงค
หลักเพื่อรักษาสภาพ ถนอมอาหาร เก็บ รักษาได้นาน
ไม่เหม็นหืน ไม่เป็นไข ทนความร้อนสูง ราคาถูก เช่นการ
ทำเนยเทียม

ไขมันทรานส์ ส่งผลต่อสุขภาพอย่างไร
ไขมัน ชนิดนี้ เป็นปัจจัย สำคัญที่ทำให้เกิด โรคหลอด
เลือดหัวใจ เพราะมันจะไปเพิ่มไขมันร้าย LDL และ
จะไปลด ไขมันดี HDL รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงต่อโรค
เบาหวานอีกด้วย

ไขมันทรานส์ ย่อยสลายได้ายากกว่าไขมันชนิดอื่น
ทำให้ตับต้องใช้วิธี สลายไขมันทรานส์ ด้วยวิธีที่ต่าง
จากปกติ  ซึ่งก่อให้เกิดความผิดปกติ คือ น้ำหนักตัว
เพิ่มขึ้น ไขมันส่วนเกิดเพิ่มขึ้น ตับผิดปกติ เสี่ยงโรคเบาหวาน
ความดันสูง หัวใจขาดเลือด หลอดเลือดหัวใจตีบ
ไขมัน อุดตัน

จึงมีการออกกฏหมาย ให้ฉลากอาหาร ต้องระบุ ปริมาณ
ไขมันทรานส์ ด้วย โดย AHA หรือ american
heart association ได้กำหนดการ
บริโภค ไขมันต่อวัน ดังนี้
ไขมันรวม Total fat ให้ไม่เกิน 56 78
กรัมต่อวัน
ไขมันอิ่มตัว ไม่เกิน 16 กรัม ต่อวัน
ไขมันทรานส์ ไม่เกิน2 กรัมต่อวัน หรือ1%
โคเลสเตอรอล ไมเกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน ( เมื่อ
เทียบกับการบริโภค 2000 แคลลอรี่ต่อวัน )

ซึ่งหมายความว่า ถ้าเรา บริโภค 1500แคลลอรี่
ต่อวัน ค่าสูงสุดของการบริโภค ไขมัน ก็ต้องต่ำลงไป
ด้วยเช่นกัน

สรุปได้ว่า อาหารที่มีไขมันสูง
อาหารที่มีไขมันทรานส์สูง ได้แก่ โดนัท เค้ก พายทูน่า
บราวนี่ ขนมปังไส้กรอก เวเฟอร์ เพราะมีส่วนประกอบ
ของเนย มาการีน  และ ไขมันปาล์ม ส่วนขนมไทย
ใช้แป้ง และน้ำตาล จึงมี ไขมันทรานส์ต่ำ

อาหารที่มีไขมันรวมสูง และไขมัน อิ่มตัวสูง แต่ไขมัน
ทรานส์ไม่สูงมากเท่ากลุ่มแรก จะเป็นพวกขนามที่ใช้
น้ำมันปาล็ม เชน ข้าวโพด ขนมขาไก่ ขนมปังทาเนย
ขนามโสมนัส คุกกี้สอดไส้ครีม คุกกี้เนย แคร็กเกอร์สอด
ไส้ครีม บราวนี่ พายกรอบ ขนมเกลียว ถั่วทอด


ในบทนี้ อาจจะเป็นอะไรที่ยาวยืด มีทั้งที่ควรรู้ และที่ดูเหมือน รกๆ บ้าง ผมเขียนไป พิมพ์ไป ก็ยาวไปเรื่อยๆ แต่ก็อยากให้จบใน บทเดียว หากมีข้อผิดพลาด ประการใด ก็ขออภัย ข้อมูลอันใด ผิดพลาด ก็พร้อมที่จะแก้ไขครับ (ผมไม่ดื้อ) เพราะ ผมเชื่อว่า คนที่เก่งกว่าผมก็ยังมีอีกมาก ความรู้ เป็นสิ่งที่ เผยแพร่กันได้ ไม่มีใครรู้มากที่สุด รู้ดีที่สุด มีอะไรผิดพลาด ก็พร้อมแก้ไข ในทุกกรณี แต่อย่าผิดเป็นดีที่สุด ... มั้ง

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การคำนวณ แบบ ง่ายๆ ง่ายจริงๆนะ ลองทำดู แล้วจะรู้ว่ามันง่าย

จากในบทที่แล้ว ที่ผมได้พูดไปถึง การหาค่า TDEE
และ การทำ Colories Defisit ซึ่งเป็นการได้รับ
พลังงานที่น้อยกว่า ที่ร่างกายต้องการ ซึ่งจะมีผลในทาง
การลดน้ำหนัก หรือควบคุมความอ้วนอย่างที่หลายๆคน
อยากได้กัน  แต่สิ่งที่ยังต้องคำนึงถึง ให้มาก คือการเข้าสู่
ภาวะ ที่เรียกว่า  Starvation  mode

Starvation Mode คือ โหมดที่เรียกได้ว่า
เป็นโหมด ที่ร่างกาย จะรักษาร่างกายให้สะสมพลังงาน
โดยการสะสมไขมันไว้ ซึ่งก็คือ ระบบ ที่ร่างกายสร้างขึ้น
มา ทำให้การควบคุมน้ำหนัก เป็นไปได้ยาก เพราะภาวะนี้
เกิดขึ้นได้โดยอัตโนมัติ ไม่อาจควบคุมได้

การจัด หมวดหมู่อาหารที่เราจะทาน เพื่อการควบคุมน้ำหนัก
นั้นเราจึงต้องคำนึงถึงจุดนี้ด้วย การที่เราทำ Defisit
แบบไม่ลืมหูลืมตาเลย ก็อาจจะเป็นที่มาของ Starvation Mode
ได้ ต่อให้คุณจะ ออกกำลังกายมากแค่ไหน ไขมันก็จะเยอะขึ้น
ลดได้แต่ส่วนที่คุณไม่อยากให้ลด ซึ่งมันเป็นผลให้การเผาผลาญ
ก็ยิ่งต่ำไปด้วย

ทีนี้มาเข้าถึง การกำหนดเป้าหมายในการควบคุมน้ำหนัก

เราก็จะมาทำการแบ่ง เป็นพลังงาน โดยการคำนวณจาก
หมวดหมู่อาหารต่างๆ สำหรับการคำนวณตรงนี้ นั้นมี
อยู่หลายวิธี แล้วแต่ จริต และความถูกต้องตรงกันในแต่ละคน
ว่ามีความชอบในแบบใด ถ้าเอาแบบ วิธีคร่าวๆก็จะใช้วิธี
คำนวณเอาจาก น้ำหนักตัว เลย ยกตัวอย่างเช่น

คนหนัก  73  ต้องการลดน้ำหนัก Defisit ก็จะ
(เอาน้ำหนักตัวกิโล 73x2.2)x 13 ก็จะได้ปริมาณ แคลลอรี่
ที่ต้องรับต่อวัน ประมาณ 2087.8 kcal  วิธีนี้ เป็นเหมือน
วิธีการ วัดปริมาตร ความจุ โดยไม่ได้คำนวณ อย่างระเอียด ซึ่ง
จะแตกต่างจากวิธีที่ผมได้แนะนำไปในบทก่อน ซึ่ง ปริมาณ kcal
จะต่างกัน เนื่องจากวิธีการนี้เป็นการคำนวณ แบบวัดจากกิจกรรม
ทั่วไปไม่ได้ จัดแบ่งตามกิจกรรมที่ได้รับจริง พูดง่ายๆคือ ประเมิน
จากคนทั่วๆไป มีกิจกรรมทั่วๆไป สำหรับ คุณ หรือใคร ที่มี กิจกรรม
ทั่วๆไปจะใช้สูตรนี้ก็ได้ครับ เพราะง่าย เมื่อได้ 2087.8 เราก็มาแบ่ง
พลังงานออกมาเป็น 3 ชนิด  คือ โปรตีน  ไขมัน  คาร์บ เพื่อมาคำนวณ
ว่าต้องทานวันละกี่ กรัม

ในวิธี แบบอย่างง่ายนี้ เราจะ คำนวณ แค่ โปรตีน และไขมัน
ส่วนที่เหลือ คือ คาร์บ เราจะไม่คำนวณ เพราะ เมื่อคำนวณ
ค่าโปรตีน และ ไขมันแล้ว ที่เหลือ ก็คือ คาร์บ นั่นเอง

โปรตีน
วิธี แบบง่ายๆในการคำนวณ คือ ดูว่าเรารับโปรตีนต่อวัน
เท่าไหร่โดยดูว่าเรา มีเป้าหมายหลัก คืออะไร
1.หากเรามีเป้าหมาย เป็นการ ควบคุมอาหาร คือ ผอมเท่านั้นสิ่งอื่นในโลกนี้
ไม่ต้องการอีกแล้ว ก็ให้ คำนวณว่า โปรตีน 1 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1กิโลกรัม
ในที่นี้ตัวอย่าง หนัก 73 x1 ซึ่งง่ายมาก ก็แค่ 73 กรัม ตีเป็น kcal ก็
73x4 = 292kcal

2.เป้าหมายเป็นการควบคุมน้ำหนัก และ เพิ่มกล้ามเนื้อ ก็ ให้คำนวณ
โปรตีน 2 กรัม ต่อน้ำหนักตัว เท่ากับว่า ร่างกายต้องรับ โปรตีน ต่อวัน 73x2
=146 กรัม ตีเป็นพลังงานได้ 584 kcal
แต่ทั้งนี้ในการคำนวณหลักๆ ผมจะเลือกแบบ ผอมนะครับ เพราะคนที่มาดู
ส่วนใหญ่คงต้องการแบบ ผอมๆ ผมก็จะเลือกใช้ โปรตีน 1กรัมต่อ น้ำหนักตัว
1กิโลกรัม ใช้เป็นหลักในการสาธิตนะครับ

ไขมัน
เราจะใช้วิธี คำนวณ โดย เอา 0.45x(2.2xน้ำหนักตัว) ก็จะได้ว่า
0.45x(2.2x73)=72.27 กรัม ตีเป็น พลังงาน ก็เอาไป x9
เพราะไขมัน 1 กรัม ให้ 9 kcal ก็จะได้ 72.27 x 9 = 650.43
เป็น ไขมันที่ต้องรับต่อวัน แต่ในส่วนลึกกว่านี้ เช่นชนิดไขมัน ไขมันทรานส์
ไขมัน อิ่มตัว ไม่อิ่มตัว เป็นยังไง รับไขมัน ดี ไม่ดี อย่างไร ผมจะพูดในบทต่อๆไป
ในบทนี้ขอ การคำนวณ คร่าวๆไปก่อนครับ

คาร์บ
ก็คือส่วนที่เหลือ จากการ พลังงาน ทั้งหมด เมื่อ ลบ ไขมัน และ โปรตีนไปแล้ว
ก็จะได้เท่ากับ พลังงาน - (โปรตีน + ไขมัน )=คาร์บ ก็จะได้ว่า
2087.8-(292+650.43)=1145.37kcal ซึ่งเป็นพลังงาน
ในส่วนของคาร์บ ที่ต้องรับต่อวัน เอามาคำนวณ ออกมาเป็นกรัม ก็จะได้
เท่ากับ 1145.37/4=286.3 กรัมต่อวัน

สรุป เป็นปริมาณ อาหารได้เป็น ต้องทาน  โปรตีน 73 กรัม ไขมัน 72.27 กรัม
คาร์บ 286.3 กรัม ต่อวัน เพื่อการลดน้ำหนัก แต่ทั้งนี้ในการจัดหมวดหมู่
อาหาร เวลาทานก็ให้คำนึง โดย คิดเสมอว่า ในส่วนประกอบของอาหาร
ก็จะมีการผิดเพี้ยนของ อัตราส่วนด้วย เช่นเนื้อสัตว์ ก็อาจจะมี ไขมันปนอยู่
เครื่องปรุงต่างๆก็จะมีให้พลังเกินมาได้ ก็ต้อง คำนวณ เผื่อส่วนนี้ด้วย
โดยอาจจะ +- ประมาณการ์ณนี้ลง อีกสักหน่อยนึง เพื่อให้การควบคุมเป็นผลดี
อาจจะ ทำอาหารทานเองเพื่อความถูกต้องได้ครับ

วิธีนี้เป็นการคำนวณ คร่าวๆ แบบที่ง่ายๆ แต่ถ้าเอาแบบ คำนวณ TDEE
และกิจกรรม ที่ทำ คุณก็สามารถดูจาก บทก่อนหน้านี้ได้ โดย คำนวณ กิจกรรม
ออกมาป็น พลังงานที่ต้องใช้ แล้วก็แบ่ง สารอาหาร ออกมาเป็นหมวดหมู่ต่างๆ
เช่นตัวอย่าง โดย ให้คิดว่า ไขมัน 1 กรัม ให้ 9 kcal โปรตีน 1 กรัม ให้4kcal
คาร์บ 1 กรัม ให้ 4 kcal  แค่นี้ก็ทำได้เองง่ายๆครับ  แต่เวลา Defisit
ว่าจะ ลดลงเท่าไหร่ยังไง ให้ ทำแบบค่อยเป็นค่อยไปก็ได้ ครับ เช่น ลดปริมาณ
kcal ลงทีละ 100 kcal ไปก่อน ถ้าไม่รีบไปหล่อ ที่ไหนก็ เรื่อยๆ
อาศัยไปเพิ่มกิจกรรมเอา ส่วนต่างให้ร่างกายได้ เบิร์น เพิ่มเอา ดีกว่าไปลด
เยอะๆ แล้วเจอปัญหา ผิวแตกลาย ไม่ควร ทานให้น้อยกว่า 1600 kcal
ในผู้ชาย 1200 kcal ในผู้หญิง เพราะ เป็นพลังงานพื้นฐานที่ร่างกายต้องมีนะครับ
ขอให้จำไว้ด้วยนะครับ การ ลดประมาณการณ์ หรือ เพิ่ม ประมาณการ์ณ
ก็ให้คิด และคำนึงเสมอว่า ให้เป็นไป อย่างช้าๆ  การประมาณการณ์ ให้เป็น
บวก หรือ ลบ ก็ขึ้นกับ แต่ละคนครับ  วิธีที่ให้เป็นตัวอย่าง เป็น แบบทดสอบ
ง่ายๆในการคำนวณ ซึ่ง ก็มี วิธีอื่นอีกมาก แต่วิธีนี้ก็ได้ผล เพราะ ถ้าหาก ไม่ได้ผล
เราก็สามารถ  บวก ลบ ประมาณการณ์ ได้ อาทิตย์ ละ 100 kcal เช่น
ถ้าลดแล้วไม่ลง ก็ - 100 kcal ทุกอาทิตย์ เท่านี้ก็ ควบคุมน้ำหนักได้แล้วครับ

ส่วนในบท ต่อๆไป ผมอยากเจาะลึก ในเรื่อง ของอาหารทั้ง 3 หมวดหมู่
หลายคนอ่านแล้วอาจจะรู้สึก ไม่เห็นจำเป็นต้องรู้เลย แค่ อาหาร 3 หมู่ โปรตีน
ไขมัน คาร์บ ใครก็รู้จัก จะรู้ไปทำไมกัน จริงๆมันลึกกว่านั้นครับ โปรตีน มัน
กินได้เท่าไหร่ กินยังไง กินแล้ว ได้อะไร   ไขมันกินไม่อ้วนยังไง ไขมันอะไรดี
คาร์บ เป็นยังไง  มันมี สาระอีกมาก ที่หลายคนไม่รู้ ก็อยากนำเสนอ ไม่ใช่ว่า
จัดหมวดหมู่ จัดปริมาณ อาหารได้แล้วก็จะสักแต่จะกินเข้าไป กินไปไม่มีประโยชน์
ถึงแม้จะ ไม่อ้วน แต่ ไม่สวยขึ้น ไม่เฟิร์มขึ้น ก็แค่ หุ่นเดิมๆ แล้วจะลดไปทำไม
จะลดน้ำหนัก ควบคุมน้ำหนัก แต่ไม่ดูดีขึ้น ตัวเหี่ยว ไม่มีหุ่นอะไรเลยสักแต่ว่า
จะผอม  เอาเป็นว่า แค่นี้ก่อนแล้วกันนะครับ ช่วงนี้ผมมีเรื่องต้องทำมาก
ไม่ค่อยได้โพส แต่ก็จะไม่ทิ้งแน่นอน 

ขอบพระคุณครับ

วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

BMR TDEE Calories Surplus Calories Deficit

ในบทนี้จะเป็นการ กล่าว ถึง บางสิ่งที่มีความสำคัญมากในการ ลดน้ำหนัก
ถึงขนาดที่มีการพูด ได้เลยว่า ถ้าหากรู้ ในสิ่งนี้ แล้ว ก็จะถือว่าสามารถ
รบชนะไปได้แล้ว ครึ่งหนึ่ง จริงๆสิ่งนี้ ก็เป็นสิ่งที่ผมได้พูดไปแล้ว
ในบทก่อนๆแต่ก็จะขอเน้นย้ำ และสรุป ประเด็นต่างๆ ให้ได้เข้าใจ
กันอีกครั้งหนึ่ง

BMR (Basal Metabolic Rate)
เป็นค่าพลังงานพื้นฐาน ที่ร่างกายมีความจำเป็นต้องใช้ในแต่ละวัน ซึ่ง
เรียกได้ว่า อัตราเผาผลาญขณะไร้กิจกรรม เป็นพลังงานที่ใช้ในการเต้น
ของหัวใจ การย่อยอาหาร ผลิตฮอโมน ทุกกิจกรรมในการดำรงค์ชีวิตอยู่
ของเรา ต้องมีพลังงานจำนวนนี้ ซึ่งใน ผู้ชาย นั้นไม่ควรที่จะ มีค่า
BMR ที่ต่ำไปกว่า 1600 kcal ในผู้หญิงก็ไม่ควรต่ำไปกว่า 1200kcal
การได้รับพลังงาน ต่ำไปกว่านี้ อาจจะทำให้เกิด ผลของ YoYO ได้

การคำนวณหาค่า BMR

ผู้ชาย
BMR = 10 x น้ำหนักตัว เป็นกิโล + 6.25 x ส่วนสูง คิด
เป็นเซนติเมตร - 5 x อายุ คิดเป็นปี + 5

ผู้หญิง
BMR = 10 x น้ำหนักตัว เป็นกิโล +6.25 x ส่วนสูง คิดเป็น
เซนติเมตร - 5 x อายุ คิดเป็นปี - 161

สูตรนี้คิดขึ้นโดย Mifflin - st Jeor ซึ่งเป็นสูตรที่
มีความน่าเชื่อถือที่สุด  จากหลายๆสูตร ที่มีการคิดขึ้นมา ผมจึงได้นำ
สูตรนี้มา เผื่อให้ได้ลองคำนวณกัน ในบางสูตร อาจจะต้องมีการคำนวณ
lean body mass รวมด้วย ผมก็เลยไม่ได้นำเสนอ สูตร
นั้นเพราะ อยากให้คำนวณจบไปในสูตรเดียว

เมื่อเราได้รับรู้ว่า อัตราเผาผลาญของเรา อยู่ที่จุดไหนแล้ว สิ่งที่เราควร
จะทราบอีกตัวหนึ่งเพื่อการ ควบคุมน้ำหนักของเรา นั้นก็คือ

TDEE (Total Daily Energy Expenditure)
ซึ่ง ก็คือ พลังงานที่เราใช้ในชีวิตของเรา (พลังงานที่ใช้ในการทำกิจกรรม
ต่างๆของเรา ) + BMR  ก็จะได้ TDEE คือพลังงาน ที่เราต้องใช้ในแต่ละวัน

TDEE คือ อะไร  TDEE คือความต้องการ พลังงานที่แท้จริงของ
เราในแต่ละวัน  หรือเรียกง่ายๆคือ แคลลอรี่ รวมทั้งหมด ที่ต้องใช้เพื่อ
ดำรงค์ชีวิต และประกอบกิจกรรมต่างๆ ของเรา

แต่ค่า TDEE นี้ ในแต่ละคนก็จะมีความแต่งต่างกันไป ตามกิจกรรม

TDEE = BMR x Activity Factor

ในส่วนของ กิจกรรม หรือ Activity นั้นให้คิดจากกิจกรรมที่ทำ
เช่น
หากว่า ไม่ได้ออกกำลังกายใดๆเลย หรือออกแต่ น้อยมากจนไม่อาจ
ที่จะไปนับได้ ให้ แทน Activity ด้วย 1.2

หากในหนึ่งสัปดาห์ มีกิจกรรม หรือการออกกำลังกายที่ใช้พลังงาน
อย่างต่อเนื่อง มากกว่า 1-3 วัน ต่อสัปดาห์  ให้แทนค่า Activity
ด้วย1.375

หากว่าในหนึ่งสัปดาห์ มีกิจกรรมที่ใช้พลังงานอย่างต่อเนื่อง หรือ การออก
กำลังกาย  3 - 5 วันใน หนึ่งสัปดาห์ ก็ให้ แทนค่า Activity
ด้วย1.55

หากว่า ในหนึ่งสัปดาห์ มีกิจกรรมที่ใช้พลังงานอย่างต่อเนื่อง หรือการออก
กำลังกาย 6-7 วัน ต่อสัปดาห์ ให้แทนค่า Activity ด้วย 1.725

หาก ใน หนึ่งสัปดาห์ มีกิจกรรมการใช้พลังงาน อย่างต่อเนื่อง อยู่สม่ำเสมอ
ทั้งสัปดาห์ หรือว่า ออกกำลัง ในหนัก แทบทุกวัน ก็ให้แทน ค่า Activity
ด้วย 1.9

กิจกรรม ที่ใช้พลังงานอย่างต่อเนื่อง เกินกว่า 30 นาทีขึ้นไป ซึ่งเป็นกิจกรรม
ที่ทำแล้วเรารู้สึกได้ว่า เป็นการใช้พลังงานเกินกว่าที่ร่างกายเราเคยปฏิบัติ
ในภาวะปกติ ก็อาจให้นับรวมเป็น Activity ได้  เพราะโดยส่วนตัว
ผมคิดว่า นอกจากการออกกำลังกายแล้ว กิจกรรมอย่างอื่นก็สามารถเผาผลาญได้
เหมือนที่หลายคนเคยพูดกันว่า แค่ขยับก็คือการออกกำลังกายแล้ว การที่
เรามีกิจกรรมทำ ได้ทั้งวัน ก็สามารถทดแทนการออกกำลังกายได้เช่นกัน

เมื่อเรารู้แล้วว่า ค่า TDEE เท่าไหร่แล้ว เราจะเอามาทำอะไรได้
เมื่อรู้แล้วเราก็สามารถที่จะจัดการ กับ รูปร่างที่เราต้องการได้

สำหรับคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ก็ให้ นำค่า TDEE - 500
ก็จะได้เป็นพลังงาน ที่ต้องได้รับต่อวัน เพื่อควบคุมน้ำหนักครับ

สำหรับคนที่ต้องการเพิ่มน้ำหนัก เพื่อทำการเพิ่ม กล้ามเนื้อ ก็ให้นำ
ค่า TDEE + 500 ก็จะได้ค่าพลังงานที่จะต้องได้รับต่อวัน เพื่อ
ให้เหมาะสมกับกิจกรรม และ จุดประสงค์ของแต่ละคนครับ

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากว่า นาย a เป็นผู้ชาย มีน้ำหนัก 73 สูง 168
อายุ 36 ปี
ต้องการทราบ BMR ก็จะได้ดังนี้ครับ

10 x 73 + 6.25 x 168 - 5 x 36 +5 = 1605 kcal

นำค่า BMR มาคิด TDEE นาย a เป็นคน ออกกำลังกาย มากและ
มีกิจกรรมที่ทำตลอดทั้งวัน ทั้งสัปดาห์ ก็ให้นำ BMR x 1.9 =
3049.5 kcal

Calories Deficit คือ การรับพลังงาน น้อยกว่าที่ร่างกายต้องการโดย
มีผลในทาง ควบคุมน้ำหนัก หรือลดน้ำหนัก
เมื่อได้ตัวเลข 3049.5 มาแล้ว หากนาย a ต้องการจะลดน้ำหนักลงไป
ก็ให้นำ 3049.5 - 500 = 2549.5 kcal ต่อวัน

Calories Surplus คือ การรับพลังงานที่มากกว่าที่ต้องการ เพื่อเพิ่ม
กล้ามเนื้อ และการออกกำลังกาย
ถ้านาย a ต้องการเล่นกล้ามเพิ่มกล้ามเนื้อ ก็ต้องนำ  3049.5 + 500
= 3549.5 kcal ต่อวัน

ซึ่งเมื่อรู้ตรงนี้ แล้วเราก็จะสามารถ มาจัดหมวดหมู่ของอาหาร เพื่อที่จะได้
ทราบว่า ควรทานอะไร กี่%เท่าไหร่ของปริมาณพลังงานที่ได้รับต่อวัน
สำหรับบทนี้ผมขอ จบเพียงเท่านี้นะครับ

ขอบพระคุณครับ

วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เผาผลาญไขมันให้ได้มากที่สุด อยู่ที่ตรงไหน Zone คือ อะไร

ในบทนี้ ผมขอ พูดก่อนว่า เป็นบท ที่มีความสำคัญสำหรับ นักกีฬา และผู้ลดน้ำหนัก ที่จะได้เข้าใจว่า การเต้นของหัวใจนั้นมี ความสำคัญ มีผล ต่อการลดน้ำหนัก ลดไขมัน และ การพัฒนาสักยภาพของร่างกาย มากแค่ไหน มาเริ่มกันเลยครับ

  ระบบการทำงานของหัวใจนั้น จะมีระบบการสูบฉีด เพื่อนำเอา เลือดที่ผสมกับออกซิเจน เข้าไปใช้ เป็น ตัวสันดาปให้เกิด พลังงาน ซึ่งผมได้พูดไปหมดแล้วในบท ก่อนหน้านี้  แต่การเต้นของหัวใจ มันจะวัดอะไรได้

เราสามารถที่จะแบ่ง การเต้นของหัวใจ ออกเป็นคร่าวๆได้ 2 ประเภท

  1. Bradycardia เป็นระดับการเต้นของหัวใจ ที่มีจำนวนครั้ง ที่ต่ำกว่า 60 ครั้งต่อนาที
  2. Tachycardia เป็นระดับการเต้นของหัวใน ที่มีจำนวนครั้งในการเต้น ของหัวใน ที่สูงกว่า 100 ครั้ง ต่อ1นาที


นอกจากนี้ ระดับในการเต้นของหัวใน ยังสามารถแบ่ง ออกได้เป็น 3 ระดับ คือ

  1. resting heart rate หรือ Hr rest  ซึ่งเป็นระดับการเต้นของหัวใจ ในระดับที่เป็นการพัก เป็นจุดที่ต่ำที่สุดของหัวในทค่เต้นอยู่ โดยจะวัดกันในระหว่างตื่นนอนใหม่ๆ
  2. Maximum heart rate (Hr max) เป็นความสามารถระดับสูงสุดของหัวใจที่จะสามารถทำได้ ในการ สูบฉีด โลหิตเพื่อนำเอาออกซิเจนไปเลี้ยงเซลต่างๆของร่างกาย โดย ความสามารถสูงสุดนี้จะมีผล เกี่ยวเนื่องกับ Vo2 Max  ซึ่งถ้าจะคำนวณแน่ชัดต้องใช้การทดสอบในห้องแล็บ  แต่ถ้าจะคำนวณกันง่ายๆก็จะมีสูตร ดังนี้  ให้เอา 220 - อายุ จะได้ ความสามารถสูงสุด ของหัวในในการเต้น ซึ่งวิธีการคำนวณนั้น เป็นเพียงวิธีการคร่าวๆ เท่านั้น
  3. Target heart rate หรือที่เรียกว่า Trainning heart rate (THR) เป็นระดับการเต้นของหัวใจในระดับที่เรากำหนด เพื่อที่จะให้เป็นไปตามเป้าหมายที่เราต้องการ  หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆคือ การนำ อัตราการเต้นของ หัวใจ ในระดับสูงสุด Hr max  ไปคำนวณหาเป็น เปอร์เซ็น เพื่อจะ ไปจัด อันดับว่า เราจะออกกำลังกาย โดยให้ หัวใจเต้นอยู่ในระดับไหน แล้ว ผลที่ได้เป็นอย่างไร


Zone  คราวนี้ผมจะมาพูดถึง  zone ในการออกกำลังกายของเรา หัวใจเราต้องเต้นอยู่ แต่ เต้นในระดับ ที่ต่างกัน ความเร็วการเต้นของหัวใจ นั้นมีผลต่อการ เผาผลาญ พลังงานเหมือนกันก็จริง แต่ต่างกันตรง % เผาผลาญ ไขมัน กล่าวคือ ถ้าหัวใจเต้นอยู่ใน zone  Weight control /fat burn  พลังงานที่เราเผาผลาญ 50%ของพลังงานที่เราใช้ในการเผาผลาญ จะเป็นพลังงาน จากไขมัน  เช่นถ้าคุณออกกำลังกาย เผาผลาญพลังงานไป 200  พลังงานที่ใช้ เผาผลาญ จะเป็นพลังงาน จากไขมัน  100  แต่อีก 100 จะเป็นอย่างอื่น  แต่ถ้าคุณออกกำลังกาย ใน zone อื่น เช่น cardio traning คุณอาจจะเผาผลาญ พลังงาน ได้มากกว่า แต่ พลังงาน ที่เผาผลาญไป เป็น พลังงาน จาก ไขมัน แค่ 35 % เท่า เผาผลาญมากกว่าก็จริง แต่ไปเผาผลาญในสิ่งอื่นที่เราอยากเก็บไว้มากกว่า



จากรูปที่ปรากฏ จะแสดงให้เห็น Zone  และการเต้นของหัวใจ ว่า อายุเท่าไหร่ เวลาเท่าไหร่ จะอยู่ใน zoneใด


โซนในการออกกำลังกาย ของคุณ ที่คุณต้องการอยู่ใน zone ไหน มีวิธี คิดง่าย สมมุติ นา a มีอายุ 30 ต้องการลดไขมัน ที่สะสมในร่างกาย เขาก็จะต้องมาคำนวณ อัตรา การเต้นของหัวใจเขา ว่าสูงสุดได้เท่าไหร่  ก็ให้คำนวณหา Hr max  ได้ตามนี้คือ  220-30 = 190 อัตราการเต้นสูงสุดของหัวใจ เขามีอัตราการเต้นสูงสุด ที่ 190  ทีนี้ เขาอยากจะลดไขมัน ช่วง ในการลดไขมันที่ดีที่สุด มี % การนำไขมันไปใช้เป็น พลังงานมากสุดคือ ช่วง Weight control  ซึ่งจะ พลังงานที่เผาผลาญ ครึ่งนึง จะเป็น พลังงาน จากไขมัน จะเห็นได้ว่า หัวใจ ต้องเต้นอยู่ที่ ประมาณ 60- 70 % ดังนั้น ก็ให้คำนวณออกมาเป็น % โดยเอา อัตราเต้นของหัวใจ สูงสุด 190 ไปคิดเป็นเปอร์เซ็น ให้ได้  60-70 %ผม ติ้งต่างว่า 60 % ก็จะคิดได้ดังนี้  180×60 หาร 100 = 108 การเต้นของหัวใจ ใน zone นี้ ของนาย a ต้องเต้นอยู่ที่ประมาณ 108 ครั้งต่อนาที จึงจะเป็นช่วงที่ ร่างกายนำไขมันมาใช้เป็นพลังงานได้มากที่สุด มากกว่าการออกกำลังกาย ใน zone อื่น ที่หนักกว่า แต่เผาผลาญ ไขมันได้น้อยกว่า

สิ่งที่ต้องระวังในการ คิดเรื่อง zone เราต้องเข้าใจก่อนว่า การออกกำลังกาย ใน zone ที่สูงขึ้นนั้น ระดับการเผาผลาญ จะสูงตามไปด้วย แต่การเผาผลาญที่สูงขึ้นนั้น มันไม่ได้เผาผลาญ แต่ไขมัน มันเผาผลาญอย่างอื่นด้วย แต่ที่การออกกำลังกายใน zone  Weight control เพราะ มันเป็น zone ที่ ครึ่งหนึ่งของพลังงานที่เผาผลาญไป เป็น พลังงานจากไขมัน  แต่ถ้าคุณไปออกใน zoneอื่นเช่น Cardio trainning จริงอยู่ว่าเผาผลาญได้มากกว่า แต่ เผาผลาญ ไขมันได้แค่ 35% เท่านั้น นอกนั้นเป็นการเผาผลาญอย่างอื่น ดังนั้น คุณต้องการ เผาผลาญอะไร ให้ดูการเต้นของหัวใจ ว่าอยู่ใน zone ไหน ปรับไปใช้ เพื่อที่จะได้ใช้ได้ตรงตามความต้องการของคุณครับ

สำหรับในบทนี้ผมขอฝากไว้เท่านี้ครับ อาจจะเข้าใจได้ยากหน่อย แต่หวังว่าจะมีประโยชน์ 

ขอบพระคุณครับ

วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Lean body mass Body fat เปอร์เซ็นไขมัน

Lean body mass คือ น้ำหนักของ อวัยวะภายใน มวลกล้ามเนื้อ
กระดูก น้ำ และ แร่ธาตุต่างที่รวมอยู่ในร่างกาย แต่ไม่รวมน้ำหนัก ไขมัน

Lean body mass  นั้นเปรียบได้กับตาชั่ง ที่ จะแปรผันสวนทางกัน ระหว่าง ไขมัน และกล้ามเนื้อ เมื่อสิ่งใด มากขึ้น อีกสิ่งก็ต้องย่อมลดลงไป ดังเช่น น้ำหนักของไขมัน ที่เพิ่มขึ้น ก็จะไปแทนที่ กล้ามเนื้อ ถ้ากล้ามเนื้อ เพิ่มขึ้นก็จะเข้าไปแทนที่ ไขมัน โดยที่น้ำหนักตัวเท่าเดิม

Body fat เป็น ดัชนีตัวหนึ่ง ที่เป็น ตัวชี้ ที่บ่งบอกว่า คนไหนอ้วน หรือผอม โดย ดูจาก ปริมาณ
ไขมันที่สะสมในร่างกาย ถือได้ว่าเป็นตัววัด ที่เป็นจริงมากกว่า การ วัดเอาจากตัวเลขที่ปรากฏบนตาชั่ง
ไขมันที่สะสม อยู่ในร่างกายนั้น เป็นสิ่งที่ บ่งบอก ได้อย่างแท้จริงว่า เราอ้วนหรือผอม

เปอร์เซ็นไขมัน คือ อีกตัวชี้ว้ดอีกตัวหนึ่ง ที่จะบอกได้ว่า มีปริมาณสะสมของไขมันคิดเป็น% แล้วมีอยู่ในใดเมื่อเที่ยบกับน้ำหนักตัว ทั้งหมด 100 %

สำหรับในคนที่ลดความอ้วน ผิดวิธี โดย ใช้การวัดเอาจากตัวเลขบนตาชั่ง แต่ไม่ได้คำนึงถึง body fat
และ %ไขมัน ที่สะสมอยู่ในร่างกาย อาจจะทำให้ การลดน้ำหนัก เป็นเพียงการลด น้ำ และ กล้ามเนื้อ รวมถึงองค์ประกอบ อื่นๆในร่างกาย แทนการ ลดไขมัน ซึ่งผลที่ได้คือการที่ น้ำหนักตัวที่ลดลง แต่ก็ยังคง อ้วนอยู่ เนื่องจาก สิ่งที่ลดลงไป คือ น้ำ และกล้ามเนื้อ  ยกตัวอย่างนาย a ที่มีน้ำหนัก 100 กิโล มี %ไขมัน 20 แล้วลดน้ำหนักลงไป เหลือ 80 กิโล แต่ น้ำหนักที่ลดลงไปนั่นเป็นเพียงน้ำ และกล้ามเนื้อ หากนำมาคำนวณ %ไขมัน เพื่อที่จะทราบ ไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกาย หรือ body fat ซึ่งสามารถคำนวนได้ดังนี้ คือ
(100x %ไขมัน ) /น้ำหนักตัวปัจจุบัน = ไขมันสะสม หรือ body fat  ผลที่ได้คือ (100x20) /80 = 25
นั่นก็หมายความว่า  body fat ของนาย a ก็เพิ่มขึ้น จากเดิมไขมันสะสม 20 กิโล เป็นไขมันสะสม 25 กิโล โดยที่ เปอร์เซ็นไขมัน เท่าเดิม

อย่างที่บอกไปแล้วว่า ตามหลัก Lean body mass ซึ่งเปรียบเที่ยวได้กับ ตาชั่ง ที่หาก มวลของกล้ามเนื้อที่หายไป จะถูกแทนที่ด้วย ไขมันแทน ซึ่งก็แปลว่า นาย a ไม่ได้ ผอมลง แต่ในทางกลับกัน กลับสะสมไขมันที่มากขึ้น

waigth loss คือ การลดน้ำหนัก บนตาชั่ง ซึ่งเป็นการลด ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นน้ำ ไขมัน กล้ามเนื้อ และองค์ประกอบอื่นๆเพื่อให้ตัวเลขที่ปรากฏบนตาชั่ง น้อยลง

fat loss คือ การลดเฉพาะ น้ำหนักไขมัน ที่สะสมอยู่ในร่างกาย

ดังนั้นในการลดน้ำหนักที่ถูก ก็หมายถึง การทำ fat loss เพื่อลด % ไขมันที่สะสมในร่างกาย เพื่อให้ได้ผลลัพย์ ที่จะปรากฏขึ้นมาคือ สัดส่วนที่ถูกต้อง รูปร่างที่ดี ไม่ใช่ว่า น้ำหนักลง แต่ยังคงตัวเหลว ตัวนิ่ม ไม่ได้สัดส่วนอยู่ แม้น้ำหนัก บนตาชั่งจะลดลงไปแล้วก็ตาม

body fat หรือ ไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกาย สามารถ แบ่งได้ เป็น 2 ประเภท คือ

1. Visceralfat วิเซอรเรียลแฟส ไขมันสะสม ใต้ผิวหนัง

2. Subcutaneous fat ซัพคูเทนเชียลแฟส ไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายในอวัยวะภายใน ซึ่งเมื่ออายุที่มากขึ้น ก็จะมีผลให้ มีไขมันแทรกอยู่ในกล้ามเนื้อ มากขึ้น

วิธีคำนวนเปอร์เซ็นไขมัน

ผู้หญิง Lean Body Mass = (( น้ำหนักตัว x2.2 )x 0.732) + 8.987 +( รอบข้อมือหน่วยนิ้ว/ 3.14 ) + ( รอบเอวบริเวณสะดือหน่วยนิ้ว x 0.157) + ( รอบสะโพกหน่วยนิ้ว x 0.249 ) +(รอบต้นแขนหน่วยนิ้ว x 0.434)

(Body Fat ไขมันสะสม)  = ( น้ำหนักตัว x 2.2 ) - LBM      

เปอร์เซ็นไขมัน = (Body Fat x 100) / ( น้ำหนักตัว x 2.2 )

ผู้ชาย Lean Body Mass = ((น้ำหนักตัว x2.2)x 1.082 + 94.42) - ( รอบเอวบริเวณสะดือหน่วยนิ้ว x 4.15 )

(Body Fat ไขมันสะสม)  = ( น้ำหนักตัว x 2.2 ) - LBM

เปอร์เซ็นไขมัน = (Body Fat  x 100) / ( น้ำหนักตัว x 2.2 )

สำหรับสูตรที่ ให้ไป อาจจะไม่ได้ถูกต้อง 100% เพราะเป็นแค่ การคำนวณ คร่าวๆ หากจะได้ผลจริงต้องมีการวัด วิธีอื่่นๆ เช่น

  • การชั่ง ในน้ำ หรือ ที่เรียกว่า ไฮโดรสเตติกเทสติ้ง ซึ่งเป็นวิธีการวัด ที่มีความแม่นยำที่สุด แต่ ต้องวัดโดยผู้เชียวชาญ และสถานที่ต้องมีความพร้อม เช่น ที่ มหาลัยมหิดล เป็นต้น
  • การใช้ Cliper  หนีบ วัดเปอร์เซ็น ไขมัน ซึ่งจะมีตำแหน่งที่แตกต่างกัน ใน ชาย และหญิง
  • การวัดด้วย เครื่อง ที่จะปล่อยกระแสไฟฟ้า อ่อนๆ เข้าไปในร่างกาย โดยต้องวัดควบคู่กับความสูงเนื่องจาก เป็นการทวนกระแสไฟฟ้ากลับมา เพื่อการคำนวณ
  • การวัดโดยเปรียบเทียบจากรูปภาพ 

สำหรับในบทนี้ผมขอจบไว้เพียงเท่านี้ หวังว่า บทความนี้ จะสามารถทำให้ผู้อ่านเข้าใจ และนำไปใช้ เพื่อประโยชน์ ในการควบคุมน้ำหนัก อย่างถูกต้อง โดยไม่มัวแต่ มองตัวเลขบนตาชั่งอีก

ขอบพระคุณครับ