วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ปัญหาขาใหญ่ เกิดจากอะไร และ วิธีทางการแก้ไข

 ปัญหาขาใหญ่

จากที่ผมเคยได้เล่น บีทอร์ค มาช่วงนึง แล้วก็เข้าไปตอบกระทู้ เกี่ยวกับการลดความอ้วนมา พอสมควร
ก็มักจะเจอคำตอบ ที่สาวๆส่วนใหญ่มักจะถามกัน ก็มัก จะไม่พ้นความอ้วน แต่คำถามที่ต้องตอบกัน นอกจากความอ้วนแล้ว ก็ยังมี เรื่อง แขน ขาที่ใหญ่ ไม่รู้จะทำยังไง มีกระทู้นึงที่ผมเจอมาตั้งคำถามว่า ลดความอ้วน น้ำหนักลงไปหมดแล้ว แต่เหลือที่ขา อย่างเดียว ก็เลยถามว่า จะทำยังไง ผมก็เลยคิดว่า ไหนๆก็เป็นปัญหา ก็อยากจะมาพูดถึงสักนิดนึง อาจจะไม่ลงลึกในรายละเอียดมาก เท่าไหร่นะครับ

สำหรับ เรื่องแขนขา ที่ใหญ่ในผู้หญิงนั้น จิงๆแล้ว เราจะแบ่ง ปัญหา ออกได้ คร่าวๆ  3 อย่าง

1.ปัญหา จากกล้ามเนื้อขาที่มีมาก อาจเกิดจากการที่ เราใส่ส้นสูงมาก ทำให้ กล้ามเนื้อน่องทำงานมากเกิดเป็นกล้ามเนื้อที่ขา ทำให้ขาใหญ่ได้ หรืออาจจะเกิดจากพันธุ์กรรม ทำให้มีกล้ามเนื้อขาที่มาก

2.ปัญหา จาก ไขมันที่สะสมมาก และเกิดจากการลดไขมันที่ผิดวิธีทำให้ ไขมันสะสมอยู่บางจุด ไม่สามารถเอาออกไปได้

3.ปัญหา ของน้ำและน้ำเหลือง เกิดจากการคั่งของระบบน้ำ น้ำเหลือง

ปัญหา ที่พูดคร่าวๆ เกี่ยวกับ เรื่อง ของขา ที่ใหญ่ มักจะเกิดจาก 3 ปัจจัย ข้างต้นนะครับ แต่หลายคน อาจจะอยากรู้ว่า มีวิธียังไงในการแก้ปัญนะครับ วิธีในการแก้ปัญหา ผมจะแบ่งเป็นคร่าวๆ 2 อย่างนะครับ

1.การแก้ปัญหา โดยวิธีปกติ เช่นการออกกำลังกาย การควบคุมอาหาร วิธีนี้เป็นวิธีพื้นฐานที่เราใช้ในการ ควบคุมอาหาร โดยทั่วไป เพื่อลดน้ำหนัก และ ลดปริมาณไขมันที่สะสม โดยการนำไปใช้ ซึ่งจะทำให้ ระบบไหลเวียน ของร่างกายดีขึ้น ลดการสะสมไขมัน ซึ่งช่วยให้สามารถ ขาเล็กลงได้ด้วย แต่ในการออกกำลังกาย นั้น ก็อาจจะใช้ตัวช่วย เช่นการ ออกกำลังกายโดยการสั่นแนวดิ่ง

การสั่นแนวดิ่ง คืออะไร หลายคน ที่ขี้เกียจออกกำลังกาย ด้วยตัวเอง นี่คือวิธีการออกกำลังกาย โดยการใช้การสั่น ในแนวดิ่ง ซึ่งเป็นวิธีการ ที่คิดค้นขึ้น เพื่อใช้ในอวกาศ เพราะมนุษย์อวกาศ ประสพปัญหา ไม่สามารถ ออกกำลังกายได้ ทำให้ แขนขา ลีบ นักวิทยาศาสตร์ นาซ่าร์ จึง วิจัย การออกกำลังกาย โดยการสั่นแนวดิ่งขึ้น ซึ่งการออกกำลังกายในรูปแบบนี้ จะลดแรงกระแทกของกระดูก ที่จะทำให้ กระดูกผุก่อน และเสื่อม ลดกระดูกพรุน เป็นการออกกำลังกาย ที่ทำให้กล้ามเนื้อ แข็งแรง โดยการส่งผ่านระบบกระสาท ไปตามจุดต่างๆ ให้กล้ามเนื้อ ออกไม่นานก็ได้ผล เท่ากับการออกกำลังกาย เป็นชั่วโมงได้ ซึ่งเราสามารถนำมาปรับใช้ใน คนที่ต้องการ ลดขา ให้เรียวเล็กลงได้เช่นกัน


2.การแก้ไขปัญหา โดยทางการแพทย์  การแก้ปัญหาแบบนี้ เป็นวิธี ที่เร็ว มีทั้งการผ่าตัด การฉีด การใช้เลเซอร์ คลื่นวิทยุ และเทคนิคทางการแพทย์ ซึ่งจะยกเป็นการแก้ไขปัญหาในแต่ละกรณี ดังนี้

2.1การแก้ไขปัญหา กรณีที่มี กล้ามเนื้อที่ขามาก ทางการแพทย์เราจะใช้ การ ผ่าตัดเอากล้ามเนื้อ ที่ขาออก แต่ผลของการผ่าตัด นั้น มีผล ทำให้ เกิดแผลเป็น หรือ อาจจะเกิดผลรับ ทำให้ กล้ามเนื้อขาส่วนอื่น รับหน้าที่แทน กล้ามเนื้อขาที่ถูกตัดไป ทำให้ใหญ่ขึ้น วิธีนี้ จึงเป็นวิธีที่จะใช้ ในกรณี ที่ไม่มีวิธีอื่นแล้วเท่านั้น และจำกัด การใช้ในผู้ที่มีปัญหา ขาใหญ่ มากจริงๆ  แต่วิธี ที่นิยม ใช้อีกวิธีนึง คือการฉีด โบท๊อก เข้าไป ในกล้ามเนื้อ เพื่อให้ กล้ามเนื้อ นั้น เล็กลง ซึ่งนิยม ใช้กันมาก หากแต่ว่า วิธีนี้ จะได้ผลในระยะสั้น และต้อง คอยฉีด อยู่เสมอ จนกว่า มันจะคงรูป ซึ่งต้องใช้เวลา และราคาที่แพง 

2.2การแก้ปัญหา กรณี ไขมันที่สะสม โดยมาก เราจะใช้การฉีด สลายไขมัน เหมือนส่วนอื่นๆของร่างกาย หรือใช้ คลื่นความถี่ วิทยุ สลาย เยื่อหุ้มเซลล์ไขมัน เพื่อให้ไขมัน ที่เก็บอยู่ในเนื้อเยื่อไขมัน สลายตัวออก อีกวิธีนึง ที่มีความนิยม คือ การดูดไขมัน  ในการดูดไขมัน หากไขมันมีขนาดใหญ่มาก ผลของการดูดไขมัน ก็อาจจะทำให้ ผิวบริเวณที่ดูด ย้วย จึงต้องมีการกระชับ ผิว หลังจากมีการดูดไขมันอีกทีนึง โดยการใช้ คลื่นความถี่วิทยุ หรือ คลื่นเสียง หรือแรงสั่นของน้ำ ร่วมกับการดูดไขมัน

2.3การแก้ปัญหา กรณี ที่เกิดจากน้ำเหลือง และ น้ำ ที่มาคั่งที่ขาเนื่องจาก เลือดไม่สามารถบีบกลับ ไปสู่ร่างกายส่วนบนได้ อาการนี้ มักจะเกิดร่วมด้วยกับอาการ เส้นเลือดที่ขอด การคั่งของน้ำและน้ำเหลือง เกิดจากการที่ยืนนานๆ วิธีแก้ไข แพทย์จะสั่งจ่าย ถุงน่อง ที่มีแรงดันเป็นพิเศษ เพื่อช่วยให้ ร่างกายสามารถ บีบ น้ำ และน้ำเหลือง กลับขึ้นไปสู่ร่างกายส่วนบนได้ ซึ่งช่วยลดอาการขาใหญ่ได้ แพทย์ หรือ บุคลากร ทางการแพทย์ มักใช้ ถุงน่อง ที่มีแรงดัน แบบนี้ในกรณีที่ต้องยืน ทำงานนานๆ


สำหรับในบทนี้ ก็เป็น บทนึงที่เหมือนเป็นการ พูดถึง เรื่องที่มี การถามกันมาก สำหรับสาวๆ ว่า ขาใหญ่ เกิดจากอะไร และมีวิธีการแก้ไข ยังไง ผมก็สรุปคร่าวๆเป็นแนวทาง ไว้ เป็นกรณี ง่ายๆ จะได้เข้าใจกันนะครับว่า ปัญหา ขาใหญ่เกิดจากอะไร วิธีการแก้ไข ทางการแพทย์เป็นยังไง สำหรับบทนี้ ฝากไว้เท่านี้นะครับ


ขอบพระคุณครับ





brittni-kent

วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ประโยชน์ของคลอเลสเตอร์รอล

ประโยชน์ของคลอเลสเตอร์รอล

1.ในการ เป็นวัตถุดิบในการสร้าง กลุ่ม กลูโคติคอยด์ ซึ่งช่วยเผาผลาญ คาร์บ เป็นพลังงาน โดยเฉพาะกลุ่ม คอร์ติซอล Cortisol กดภูมิคุ้มกันต้่านการอักเสบ ต้านความเครียด ถ้าไม่มีคลอเลสเตอร์รอลก็จะไม่มีสิ่งเหล่านี้ด้วย
2.กลุ่ม มิโนรัลคอติคอยด์ Minoralcorticoids เช่น อะโดสเตอร์โรน Adostorone เกี่ยวกับระบบน้ำและอิเลคโตรไลน์ ผ่านการควบคุมโซเดี่ยม และโพแทสเซี่ยม

3.กลุ่มแอนโดรเจน Androgen เช่น DHEA และเทสโทสเทอร์โลน ที่เป็นฮอโมนเพศชาย ช่วยรักษาความหน่แน่นของกระดูก และตับDHEA สัมพันธ์กับความหน่แน่นของกระดูก และความทรงจำในยามชรา ซึ่งมีผลต่อสมองด้วย

4.กลุ่มโปรเจสตาเจน Progestagens เช่นโปรเจสเตอร์โรน Progesterone มีความสำคัญต่อการมีประจำเดือน และฮอโมนตั้งครรภ์ในผู้หญิง

5.กลุ่มแอนโดรเจน entrogen เป็นฮอร์โมนที่พัฒนาเกี่ยวเพศ กระดูกและคุณภาพของสมอง

6.เป็นวิตามินดี ทำหน้าที่เหมือนสเตียร์รอยด์ ฮอโมน สนับสนุนภูมิต้านทาน กำกับปริมารแตลเซี่ยมในกระแสเลือด

สมองเราเองก็มีส่วนประกอบสำคัญมาจาก คลอเลสเตอร์รอล เยื่อหุ้มเซลล์ ฉนวนหุ้มปลายประสาทก็สังเคราะห์จากคลอเลสเตอร์รอลผ่านตับ ถ้าตับสังเคราะได้ดีจะสังเคราะห์คลอเลสเตอร์รอลด้วย  ซึ่ง hdl จะไปกวาดเอา ldl คลอเลสเตอร์รอลมาที่ตัวเพื่อสังเคราะห์เป็น ฮอโมนทั้งหลาย ฉนวนหุ่มปลายประสาท เยื่อหุ้มเซลล์





หากใช้ยาลดคลอเลสเตอร์รอล จะทำให้
1.เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ เข้าสู่วัยทองก่อนวัยอันควร แก่เร็ว
2.ความสามารถในการต้านความเครียดต่ำลง เพราะฮอโมนเกี่ยวกับความเครียดบางตัวสังเคราะห์มาจาก คลอเลสเตอร์รอล
3.ตับทำงานผิดปกติ มีไขมันฟอกตับมากขึ้น ตับแข็ง ตับอักเสบ เพราะร่างกายจะย้าย คลอเลสเตอร์รอล จากหลอดเลือด ไปพอกที่ตับทำให้เป็นตับแข็งตับอักเสบ
4.เกิดการอักเสบที่ผิวหนังได้ง่ายขึ้น เพราะการต้านการอักเสบ เพราะคลอเลสเตอร์รอล เป็นฮอโมนที่จะถูกสังเคราะต่อเป็นฮอโมนต้านการอักเสบของผิวหนัง
5.ลดLDLไม่ได้ลดตรัยกลีเซอร์รัย ทำให้เสี่ยงความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ
6.เป็นเบาหวานได้ง่ายเพราะสภาพตับและตับอ่อนแย่ลง




องค์การ FAO (FOOD AND AGRICULTURE ORGANIZATION OF THE UNITED NATIONS) ปี1992
จากข้อมูล ทางระบาดวิทยา โดยทั่วไปแล้ว สอดคล้อง กับการทดลองในสัตว์ทดลองที่ระบุว่าการบริโภคไขมันต่ำเพิ่มการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง 
 
Dr. สาทิส อินทรกำแหง ผู้ก่อตั้ง ชีวจิต ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง ของผู้ที่ กินไขมันแต่น้อย แต่กลับพบว่า เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ อีกคนหนึ่ง ซึ่งบัดนี้ท่านได้สิ้นไปแล้ว แต่ก็ขอหยิบยกมาเป็นตัวอย่าง ท่านหนึ่งนะครับ
งานวิจัยพบว่า ไขมันอุดตันในเส้นเลือด (ไขมันไม่อิ่มตัว)
พศ.2537 และงานวิจัย 2542 พบว่าสาร Athermoas ซึ่งเป็นสารเริ่มต้นของสารอุดตัน (plaque)ในหลอดเลือด เป็นพวกไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง จากการวิเคราะห์ แผ่นไขมัน ที่เกาะที่เส้นเลือดพบว่าใน อนุพันธ์คลอเลสเตอร์รอล 74% เป็นไขมันไม่อิ่มตัว(ส่วนใหญ่มาจาก ถั่วเหลือง ข้าวโพด ดอกทานตะวัน ดอกคำฝอย อื่นๆ ) เป็นไขมันอิ่มตัวเพียง 26% และกรดไขมันอิ่มตัวเหล่านี้ก็ไม่ใช่กรดลอริก หรือ กรดไมริสติก จากน้ำมันมะพร้าวเลย 

น้ำมันพืช อย่างน้ำมัน ถั่วเหลืองที่เรา ทานกันในทุกวันนี้ จึงเป็นปัญหา ของการอักเสบหลอดเลือดเกิดจากการกินแป้งน้ำตาลมาก ก็จะมาพอกมาก ถ้าเรากินน้ำมันไม่อิ่มตัวมากด้วยเลยกลายเป็น อ็อกซิไดร์ LDL พร้อมกลายสภาพและพร้อมรับการที่จะให้อนุมูลอิสระเข้าโจมตี พอโจมตีเกิดหลอดเลือดแตกฉีกขาด กระจายไปยังหลอดเลือดหัวใจและสมองได้ จึงต้องงดน้ำตาลแป้ง ไม่ควรโทษไขมันไม่อิ่มตัวเพียงอย่างเดียว ต้องโทษ การกินแป้งและน้ำตาล ที่เป็นต้นเหตุ
การลด LDL โดยการไม่ไปทาน แป้ง น้ำตาล มาก หรืองด แป้งน้ำตาล จึงเป็นส่วนช่วยลดความเสี่ยงได้มาก

สำหรับบทความบทนี้ เป็นบท ความที่ เป็นภาค ประกอบ ของบทความก่อนๆ ที่ผมอยากพูด ถึงประโยชน์ และ ข้อมูล การวิจัย ที่ยืนยันได้ ของ FAO ที่เป็นองค์กร ระดับโลก บางคนอาจจะเคยเห็นสัญลักษณ์ นี้มาบาง เพื่อยืนยันใน การวิจัย ว่ามีที่มาที่ไป ไม่ใช่งานวิจัย ลวงโลก หรือไม่ได้รับการยืนยัน เลยอยากนำเสนอข้อมูล ให้ ครบถ้วน เพื่อว่า คนที่กำลัง ควบคุมน้ำหนัก จะได้ ทราบ ข้อมูลเหล่านี้ และ มีสุขภาพ ที่ดี ไม่เป็นโรค หลอดเลือด หรืออันตรายจากความเข้าใจ เดิมๆอีกต่อไปนะครับ 

ขอบพระคุณครับ

Fitness Model: Erin Stern

วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

THE GREAT CHOLESTEROL CON (ความจริงอันหลอกลวง เกี่ยวกับ คลอเลสเตอร์รอล )

THE GREAT CHOLESTEROL CON
  Dr.Malcolm KenDrick

Dr.Malcolm Kendrick ได้เขียนหนังสือ ชื่อว่า THE GREAT CHOLESTEROL CON ที่มีความหมายว่า การหลอกลวงครั้งยิ่งใหญ่เกี่ยวกับ คลอเลสเตอร์รอล

หนังสือเล่มนี้ได้พูดถึง เกี่ยวกับ ความเชื่อเดิมๆที่เชื่อว่า สาเหตุ สำคัญของการเป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือด หัวใจ และ สมอง นั้นมีสาเหตุมาจาก คลอเลสเตอร์รอล แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีความจริงอยู่เลย 

ในการวิจัย และ การเก็บข้อมูลในยุคปัจจุบัน ได้มีการหาคำตอบ เกี่ยวกับเรื่องนี้ โดย ทำการสำรวจจาก ประเทศ และ ชนชาติ ที่มีระดับ คลอเลสเตอร์รอล ที่ต่างกัน ตัวอย่าง เช่น 

ชาว Aboriginals ที่มีระดับ คลอเลสเตอร์รอล ต่ำ มาก เรียกว่า ต่ำที่สุดในโลก 4.9 มิลลิโม ต่อเดซิลิตร หรือ 140-150 ต่อ เดซิลิตร แต่กลับมีประชากร เสียชีวิต ด้วยโรคหัวใจสูงที่สุดในโลก

ชาว Switzerland มีระดับ คลอเลสเตอร์รอล สูง ที่สุด แต่กลับพบว่า มีประมาณการเสียชีวิต ด้วยโรคหัวใจที่ต่ำ มาก

ใน Finland พบว่า คนที่มีคลอเลสเตอร์รอล ต่ำ เสียชีวิต มากกว่า คนที่มีคลอเลสเตอร์รอล สูงกว่า ถึง 2 เท่า 



ถ้าคนอายุต่ำกว่า 50 ปี ลงมา ถ้ามีคลอเลสเตอร์รอล สูง จะมีความเสี่ยงต่อการเกิด โรคหัวใจ แต่หลังจาก ที่อายุ 50 ปีไปแล้ว คลอเลสเตอร์รอล สูง ไม่มีผลต่อการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ แต่สัมพันธ์ว่า หาก คลอเลสเตอร์รอล ลดลง ความเสี่ยงเรื่องโรคหัวใจ จะเพิ่มขึ้นทันที ทุกๆ 10 มิลลิกรัม ที่ลดจะมีความเสี่ยง เพิ่มขึ้น 11 %

คลอเลสเตอรอลเป็นแหล่งผลิต ฮอร์โมน น้ำดี เยื่อหุ้มสมอง  วิตามินดี ฉนวนหุ้มปลายประสาท ถ้าร่างกายมีคลอเลสเตอร์รอล ลดลง เราจะผลิต สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ ประมาณคลอเลสเตอร์รอล จะมีได้มาก หรือน้อย เราจะดูที่ ปริมาณ HDL คือไขมันที่สังเคราะห์ ออกมาจากตับเช่นกัน  เพราะ มันทำหน้าที่ กวาด คลอเลสเตอร์รอล ที่อยู่ในหลอดเลือด มาสังเคราะห์ฮอร์โมน ต่างๆ ที่ตับ  ถ้าหากมี HDL มากก็ไม่มีความจำเป็นต้องกลัว คลอเลสเตอร์รอล

ถ้าจะมีความเสี่ยง เรื่อง คลอเลสเตอร์รอล ต่อการเกิดโรคหัวใจ คือ การมีคลอเลสเตอร์รอล เกินกว่า 5 เท่า ของ HDL ถ้าต่ำกว่า 4.6 ก็ถือว่าปลอดภัย ดังนั้น ความสำคัญ คือการ มีปริมาณ HDL ที่มากสามารถช่วยให้เราเผาผลาญ คลอเลสเตอร์รอล ได้โดย การออกกำลังกาย ดื่มน้ำมันมะพร้าว เพิ่มการเผาผลาญ คลอเลสเตอร์รอล มาเป็นพลังงาน เป็นน้ำดี เป็นฮอร์โมนต่างๆ



การเกิด โรคเส้นเลือดหัวใจ ในความเป็นจริงแล้ว เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต ของเรามากกว่า ที่ทำให้เกิดกลุ่มโรคที่เรียกว่า NCD

NCD คือโรคร้ายที่เราสร้างเอง(โดยพฤติกรรมการกิน การอยู่ของเรา) สามารถป้องกัน และ ลดความเสี่ยง โดยการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมการกิน
การทานยาลดไขมัน เกิดผลเสีย ทำให้ปวดกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดโรค กล้ามเนื้อ สลายทำลายประสาท สูญเสีย ความทรงจำ มึนงง เวียนหัวเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง มีโอกาสเป็นโรค หัวใจเพิ่มขึ้น  3 เท่า มีโอกาสเป็นโรค เบาหวาน เพิ่ม 27% 

พฤติกรรมการบริโภค ที่ทำให้เกิดโรคเช่นการ ใช้น้ำตาลจากกระบวนการอุตสาหกรรม ไม่ได้รับ น้ำตาลจากธรรมชาติ 

น้ำตาล จากอุตสาหกรรม  เมื่อเข้าสู่ตับ ตับจะเปลี่ยน เก็บสะสมในรูป ไตรกลีเซอร์รัย และเปลี่ยนเป็นไขมัน เป็นคลอเลสเตอร์รอล ร้าย ที่ลอยอยู่ในเลือด ไม่ได้เกิดจากการที่ตับ สร้างคลอเลสเตอร์รอล ดีๆไว้ซ่อมแซมร่างกาย

คลอเลสเตอร์รอลไม่ใช่สาเหตุการ ตายจากโรคหัวใจ เด็ดขาด

คลอเลสเตอร์รอล ไม่ใช่ผู้ร้าย ที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ แต่เกิดจาก พฤติกรรมการกิน
สาเหตุโรคหัวใจ
1.ความเครียดความรีบเร่ง ความโกธร ความตื่นเต้น การแข่งขัน การกดดัน การสูญเสีย น้อยเนื้อต่ำใจ  ต่อมหมวกไต จะผลิตฮอร์โมน ทำให้หัวใจเต้นแรงๆๆๆ
2.ผนังหลอดเลือด เกิดการอักเสบ ติดเชื้อแบคทีเรีย ในช่องปากหลุดเข้าสู่เส้นเลือด จู่โจมผนังหลอดเลือดทำให้อักเสบ  การอมน้ำมันมะพร้าว ก่อนนอน และ ตื่นนอน ช่วยฆ่าเชื้อโรคในปาก ไม่ให้เป็นโรคหัวใจได้ 50%
3.ไตรกลีเซอร์ไรด์ สูง เกิดจากการกินน้ำตาล มากจนเสพติด เช่น น้ำอัดล ขนมหวาน ที่ผลิตจากอุตสาหกรรม ทำให้เกิดโรคหัวใจวาน เส้นเลือดอุดตัน
การแพทย์เริ่มรู้แล้วว่า ไตรกลีเซอร์ไรด์ ไม่ได้เกิดจากการกินไขมัน แต่เกิดการกิน น้ำตาลที่ผลิตจากกระบวนการอุตสาหกรรม ที่มากเกินไป
สารทดแทนความหวาน เข้าสู่ตับ ตับเห็นว่าเป็นสารพิษ เลยเปลี่ยนให้เป็น ไตรกลีเซอร์ไรด์ เก็บไว้ก่อน แล้วหลังจากนั้นก็เอาไป เปลี่ยนให้เป็นไขมัน ตัวนี้แหล่ะที่ทำให้เกิดการอุดตัน เป็นโรคหัวใจ
4.ทานไขมันไม่อิ่มตัว น้ำมันพืชขวดสีเหลือง ที่ผ่านกระบวนการผลิต ใช้ความร้อน และ เคมี ไขมันจากมะพร้าว จาก น้ำมันหมู ไม่เป็นไร  กรดไขมัน ไม่อิ่มตัวจึงเหม็นหืน อิ่มตัวง่าย จึงเติมสารเคมีไม่ให้เห็นหืน จึงทำให้เกิดเป็นไขมัน ทรานส์ ที่ทำให้เกิด โรคหลอดเลือดหัวใจ ไปอุดตัน  แต่บ้านเรามี น้ำมันที่ดีกว่าคือ คือ virgin coconut oil เป็นน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น เป็นไขมันอิ่มตัว ที่มีโมเลกุลเล็ก  เรียกว่า มีเดี่ยมเชนเฟต
สำหรับบทนี้ ผมพูดถึง การวิจัย และ ความเชื่อ ที่เป็นปัจจุบัน ความเชื่อเดิมที่ว่า คลอเลสเตอร์รอล เป็นอันตรายนั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด หากมี HDL ที่สูง ก็ไม่มีความจำเป็นต้องกลัว การมีคลอเลสเตอร์รอล ดังนั้น หากเราไปตรวจเช็ค ปริมาณ คลอเลสเตอร์รอล ก็ขอให้ คำนึงถึงปริมาณ ของ HDL ด้วยหาก คลอเลสเตอร์รอล มีไม่เกิน 4.6 เท่าก็ยังถือว่า ปลอดภัย สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่ความรู้ใหม่ แต่เป็นความรู้ที่ ขัดกับความเชื่อเดิม หลายคนอาจจะถามว่า แล้ว รณรงค์ ให้กินน้ำมันหมู กินพวกคลอเลสเตอร์รอล แล้วไม่อ้วนหรือไง ต้องบอกว่า ความอ้วน ไม่ขึ้นกับว่า กินอะไร แต่ขึ้นกับว่า กินเท่าไหร่ หากเรา กิน ไม่เกินกว่าที่ร่างกายนำไปใช้ เป็นพลังงานได้ เราก็ไม่อ้วน อยากให้เข้าใจ เสียใหม่ นะครับ 

ผมเคยเจอ เทรนเนอร์ คนนึง ถามว่า เค้า อ้วนจากการกิน เวย์โปรตีน ซึ่ง ผมก็ตอบเรื่องนี้ไป ให้เค้าฟัง แต่ผมยังไม่อยากเล่า ตรงนี้ อยากจะเอาไป เล่าใน บทความต่อๆไปดีกว่า ว่าที่ว่า กินเวย์แล้วมัน อ้วน มันจริงไม๋  ในบทนี้ผมก็ขอฝากไว้ประมาณนี้นะครับ

ขอบพระคุณครับ


sarah grace

วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

กรดไขมันอิ่มตัว และกรดไขมันไม่อิ่มตัว



กรดไขมันสามารถแบ่งได้เป็น

1.กรดไขมันอิ่มตัว (saturated fatty acid) คือ กรดไขมัน ที่ได้จาก พืช และสัตว์ ซึ่งกรดไขมัน ชนิดอิ่มตัว นี้จะมีลักษณะ การจับตัวกันของโมเลกุล อย่างเหนียวแน่น ซึ่ง เนื่องจากการเกาะกันอย่างเหนียวแน่น นี้ จึงไม่เกิดกระบวนการแปรสภาพ จากการโจมตีของ ออกซิเจน จึงไม่มีการเหม็นหืน  การจับตัวกันของโมเลกุล ที่มีความเหนียวแน่นนี้ ทำให้ เมื่อโดนความร้อน  ไขมัน อิ่มตัว จะไม่เกิดการ ข้นเหนียว จึงไม่เป็นอันตรายต่อ ร่างกาย เมื่อทานเข้าไป ตัวอย่างเช่น กรดไขมัน Lauric acid 




2.กรดไขมันไม่อิ่มตัว  (Un saturated fatty acid)  คือกรดไขมัน ที่มีลักษณะ การจับกันของโมเลกุล ที่มีจุด ให้ออกซิเจน สามารถโจมตีได้ ในบางจุด ซึ่งเป็นผลให้เกิดการแปรสภาพ ได้เมื่อโดนความร้อน การแปรสภาพ จะเกิดขึ้น ได้ภายในร่างกาย จึงเป็นที่มาของโรคต่างๆจากการรับประทาน กรดไขมันไม่อิ่มตัว



ประเภทของกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว
2.1 Mono unsatuated fatty acid เป็นกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ได้แก่ กรดไขมันโอเลอิก

2.2 Poly unsatuated fatty acid เป็นกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน จะมีจุดที่สามารถ แปรสภาพได้ มากกว่า 2 ตำแหน่งขึ้นไป ได้แก่ กรดลิโนเลอิก

กรดไขมัน ชนิดอิ่มตัว เป็นกรดไขมัน ที่เรา ได้รับความเข้าใจ กันเป็นเวลา20-30ปีมาแล้ว ว่าเป็นกรดไขมันที่มีความอันตราย เนื่องจากเป็นไข ในตู้เย็น ซึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นการตั้งใจ หรือว่า จงใจให้เข้าใจผิดกันอย่างนั้น รวมทั้ง ความเชื่อที่ว่า คลอเลสเตอร์รอลนั้นเป็น อันตราย ซึ่งก็เป็นความเข้าใจที่ผิดมาตลอด

ภาวะโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองที่เกิดขึ้น และเป็นมากขึ้นในปัจจุบัน ไม่ได้เกิดจากการ ทานกรดไขมันอิ่มตัว ตรงกันข้าม กลับพบว่า โรคหลอดเลือด  เป็นผล ข้างเคียงจาก อนุมูลอิสระ และการมี LDL ที่มาก และ HDL ที่น้อย มากกว่า 

การทาน ไขมัน ถั่วเหลือง ซึ่งเป็น ไขมัน ชนิดไม่อิ่มตัว เพื่อ ลดปริมาณ คลอเลสเตอร์รอล แต่ลืมไปว่า ร่างกายก็สามารถ สร้าง คลอเลสเตอร์รอล เองได้อยู่แล้ว จึงไม่ได้ผล อย่างที่เคยเชื่อกันว่า เราทาน ไขมันถั่วเหลือง แล้วจะทำให้ ลด โรคหลอดเลือดได้ ซึ่งผลในการวิจัย กลับพบว่า ปัจจุบัน กลายเป็นว่า คนที่ทาน ไขมัน ชนิด ไม่อิ่มตัว กลับมี ผลให้เป็นโรคหลอดเลือด มากยิ่งขึ้น 


มีเรื่องที่พูดกัน มาอย่างติดตลก ว่า มีคนเลี้ยงหมู อยู่คนหนึ่ง ที่ อยากให้หมู ของตัวเอง อ้วนขึ้น พอได้ยินว่า การกิน ไขมันอิ่มตัว อย่างเช่น น้ำมันมะพร้าว จะทำให้อ้วน เลยเอาน้ำมันมะพร้าว ให้หมูกิน ผลปรากฏว่า หมูผอมลง  ซึ่งที่เป็นอย่างนี้เพราะ ไขมันอิ่มตัวนั้น มีผลในการเพิ่มอัตราเผาผลาญของเราด้วย เป็นการเพิ่มอุณหภูมิของร่างกาย ทำให้ระบบเผาผลาญของเราเพิ่มขึ้นด้วย
สำหรับ คนที่จะลดความอ้วน การที่กรดไขมันอิ่มตัว มีผลต่อการเพิ่มอัตราเผาผลาญของร่างกายให้เพิ่มขึ้น และยังมีประโยชน์ ต่อสุขภาพ และ ลดภาวะเสี่ยงของโรคหลอดเลือด มะเร็ง ความดัน และอื่นๆ อีกด้วย


สำหรับบทนี้ ผมก็อยากเขียนถึง เรื่องกรดไขมัน ว่า เราควรจะเลือกกรดไขมัน ชนิดไหน มาเพื่อสุขภาพ ของเรา เพราะ หลายคนมักพูดถึง น้ำมันมะกอก ซึ่งเป็นกรดไขมัน ไม่อิ่มตัว ซึ่งโดยตัวของมันเอง แล้วดี แต่หากว่า โดนความร้อน ก็จะแปรสภาพได้ จึงเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และควรหลีกเลี่ยง การทำความเข้าใจ ต่อสุขภาพ และชนิดอาหารที่ทานเข้าไป จึงน่าจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพโดยรวมของพวกท่านด้วยเช่นกัน ในบทนี้ ผมพยายามไม่ลงใน เนื้อหาลึกๆ และไม่พยายามใช้คำยาก เพราะเข้าใจว่า อาจจะทำให้ งง และได้ประโยชน์ที่น้อย เพราะอ่านไม่รู้เรื่อง แต่ก็จะพยายามค่อยๆพูดถึง เรื่องนี้ ด้วยศัพทย์ที่ง่าย  เพื่อความเข้าใจ ถึงความเสี่ยง และ เหตุผล การเกิดโรค หลอดเลือด จากการ ทานกรดไขมัน ชนิดไม่อิ่มตัว รวมถึง ไขมันทรานส์ ที่อาจจะได้พูดกันต่อไป อยากให้ ทุกคน สุขภาพดี และชีวิตมีความสุข ไม่ใช่ว่า จะผอมกันอย่างเดียว เรื่องอื่นๆก็สำคัญด้วย สำหรับบทนี้ ขอบพระคุณครับ






Fitness Celebrity – Jennifer Nicole Lee



วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ไขมันในเลือดสูง



ผู้มีไขมันในเลือดสูง



คำว่าไขมันในเลือดสูงเราจะวัดจาก ค่าหลักๆ 2 ตัว คือ

1.ไตรกลีเซอร์รัย สูงเกิน 200 

2.คลอเลสเตอร์รอล สูงเกิน 200

 ในกลุ่มที่ผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง  เราจะดู 2 ตัวคือ 

1.คลอเลสเตอร์รอล ที่ไม่ดี เราจะเรียกว่า LDL ซึ่ง เป็น ทำหน้าที่นำพาเอาคลอเลสเตอร์รอล ให้วิ่งไปตามเส้นเลือด และมีหน้าที่ในการ พอกซ่อมแซมหลอดเลือดที่ชำรุดเสียหาย 

2.คลอเลสเตอร์รอล ที่ดี เราจะเรียกว่า HDL ซึ่งจะทำหน้าที่ พาเอาคลอเลสเตอร์รอล ในกระแสเลือด ที่เกิน เก็บกลับไปที่ตับ เพื่อเปลี่ยนเป็น ฮอร์โมนต่างๆ ฉนวนหุ้มปลายประสาท และอื่นๆอีกมากมาย


คลอเลสเตอร์รอล นั่นเป็น สิ่งที่ไม่ได้เป็นอันตราย อย่างที่ความเชื่อ ที่เรามีต่อ ไขมันที่รับประทานกันทุกวันนี้ หากแต่เหตุผลที่ มันมีความอันตราย เกิดจาก การที่ร่างกาย เรามี อนุมูลอิสระ (อนุมูล เกิดจาก การเผาไขมัน  หรือ สภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ รวมทั้งอาหารที่ทานบางอย่างทำให้เกิดอนุมูลอิสระ) ที่วิ่งเข้าโจมตี คลอเลสเตอร์รอล ที่วิ่งอยู่ในกระแสเลือด จนเกิดการจับกัน และ แปรสภาพ ตกตะกอน  ตามหลอดเลือดของเรา ซึ่งถ้าในเวลาปกติ ที่ คลอเลสเตอร์รอล วิ่งอยู่ในกระแสเลือด นั้น ไม่ได้เป็นอันตรายใดๆกับเราเลย การที่ เรามี LDL มาก ก็เลย กลายเป็นอันตราย กับร่างกาย เนื่องจาก LDL นำพา คลอเลสเตอร์รอล ให้วิ่งไปใน หลอดเลือด แต่หากว่า เรามี HDL มาก ซึ่งทำหน้าที่ นำ คลอเลสเตอร์รอล กลับไปเก็บในตับมาก เราก็ไม่มีความจำเป็นต้องกลัวว่า ปริมาณคลอเลสเตอร์รอล  จนเกินเหตุไป หากมี ปริมาณ HDL ที่มากพอ


ในคนที่ผอม ก็สามารถ พบอได้ว่า มีปริมาณ คลอเลสเตอร์รอล ที่สูง เนื่องจากร่างกายของเรา สามารถ สร้างได้เอง จากลำไส้ และตับ ในคนผอมก็สามารถ พบว่าคลอเลสเตอร์รอล เกินได้ เนื่องจาก กรรมพันธุ์

คลอเลสเตอร์รอล มีความสำคัญในการ สร้าง วิตามินดี และสร้งา อื่นๆของร่างกาย แต่ถ้ามีเยอะไป ร่างกายก็จะสามารถกำจัด ออกเองได้ แต่ปัญหา ส่วนใหญ่เกิดจากการ กำจัดไม่หมด เพราะมีการรับ จากภายนอกร่างกายที่มากเกินไป หรือมี LDL ที่มากเกินไป ทำให้ความเสี่ยงที่ คลอเลสเตอร์รอล จะตกตะกอนจากการ จับกับ อนุมูลอิสระ จึงมีมาก ซึ่งผลของการตกตะกอน นั้นทำให้ หลอดเลือด มีการบวม จนตีบ ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายไม่ได้ ถ้าเป็น ที่บริเวณเส้นเลือดที่ไปเลี้ยง หัวใจ ก็จะเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ  ถ้าไปเป็นบริเวณ สมองก็เป็นโรค หลอดเลือดสมอง หากว่าเป็นในบริเวณ หลอดเลือดที่มีความสำคัญ ถ้าไปกดเซลล์สมองที่บังคับร่างกายก็จะเป็นอัมพาต ท้ังยังทำให้ เลือดไปเลี้ยงส่วนอื่นๆไม่สะดวก เกิดมีอาการ มือไม้ชาได้อีกด้วย 


ลักษณะของคลอเลสเตอร์รอล จะมีลักษณะที่คล้ายกับ แว็ก หรือน้ำตาลเทียน ที่หากเราบี้ไปแล้ว ก็จะติดมือ เหมือนขี้เทียน
  
นอกจากที่รา่งกายสามารถสร้าง คลอเลสเตอร์รอลเองได้แล้ว ยังพบมากในอาหาร จำพวก เครื่องใน อาหารทะเล และไข่ไก่ ด้วย ซึ่ง โดยปกติ ในภาวะที่ระบบของร่างกายปกติ ร่างกายจะสามารถกำจัดได้ โดยน้ำดีจะพา ออกไป หรือเก็บไว้ที่ัตับ  


ความเสี่ยงของผู้มีน้ำหนักเกิน จะเกิดได้จากการกินอาหารที่มีไขมัน อิ่มตัว สูง ทำให้ปริมาณคลอเลสเตอร์รอล สูง

ไขมันอิ่มตัว ส่วนใหญ่ คือ ไขมันที่ เวลาเอามาตั้งในอุณหภูมิห้อง แล้วเป็น ของแข็ง เช่น น้ำมันหมู ที่ทิ้งไว้แล้วจะเป็นไขขาวๆ เรียกว่าไขมันอิ่มตัว คำว่าอิ่มตัวคือเป็นของแข็งในอุณหภูมิห้อง ถ้าทานเยอะๆ จะมีงานวิจัยว่าทำให้คลอเลสเตอร์รอล เพิ่มขึ้นด้วย จริงๆ คลอเลสเตอร์รอล มีมากใน ไข่แดงในอาหารทะเล
แต่จะไม่มีความน่ากลัว ถ้าเรามี HDL มาก เพราะ HDLจะพา คลอเลสเตอร์รอลไป ไว้ในตับ 

ไตรกลีเซอร์รัย เป็นไขมันที่เป็นอันตรายเช่นกัน ส่วนใหญ่จะมาจากน้ำตาลทราย จากกะทิ  ในกะทิทั้งที่เป็นพืช เมื่อกินเข้าไปจะเปลี่ยนเป็น ไตรกลีเซอร์รัย



ไขมันไม่อิ่มตัว คือ ไขมัน ที่ในอุณหภูมิห้อง ก็จะไม่แข็งตัวในอุณหภูมิห้อง เช่นน้ำมันพืช ที่ช่วยลดระดับคลอเลสเตอร์รอลได้ แต่ว่าไม่ควรทานมากเกินไป ควรใช้ให้หลากหลาย น้ำมันปาล์ม มีไขมันชนิดอิ่มตัว เหมือน้ำมันสัตว์เพราะเวลาทอด แล้วของเหลืองเร็ว น้ำมันเป็นสีดำได้ช้ากว่าน้ำมันอื่น เพราะมีความอิ่มตัวมาก นิยมทอดซ้ำ

ถ้าทอดให้ใช้น้ำมันปาล์ม ทอด น้ำมัน ทนต่ออุณหภูมิสูงๆได้เพราะ ทนความร้อนได้นาน

ถ้านำไปผัด ซึ่งหมายถึง กินน้ำมันพืชนั้นไปด้วย น้ำมัน ถั่วเหลือง น้ำมัน รำข้าว
น้ำมันควรใช้หลากหลาย เพราะแล้วแต่การใช้งาน 

สำหรับบทนี้ ผมขอแตะ ในเรื่อง ไขมัน อิ่มตัว และ คลอเลสเตอร์รอล ไว้นิดหน่อย ว่า น้ำมันพืชที่เราทานกัน เพื่อ ลดปริมาณ คลอเลสเตอร์รอล นั้นมีส่วนให้ การเกิดโรค หลอดเลือด ลดได้จริงหรือไม่ แล้วจริงๆ เราควร จะเชื่อ ต่อไปไม๋ว่า การมีคลอเลสเตอร์รอลมากๆอันตราย สำหรับบทนี้ก็ขอฝากไว้เล็กๆแค่นี้ครับ 

ขอบพระคุณครับ








วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เร่งอัตราเผาผลาญ สลายไขมัน แบบ เทพสายฟ้า THOR



                  เร่งการเผาผลาญแบบเทพธอร์



สำหรับในบทนี้ ผมจะมาพูดถึง วิธีการ แบ่งเวลาการกิน เพื่อที่จะให้ระบบเผาผลาญ

ของเรา ทำงานได้ดี และ เป็นการเร่งระบบเผาผลาญ หลายๆท่านคงเคยได้ยินมาว่า 

นักกีฬา หรือคนที่เล่นเวท จะทานอาหารมากมื้อ ยกตัวอย่าง พระเอกChris 

Hemsworth จากภาพยนต์ชื่อดัง Thor เทพสายฟ้า ด้วยความที่แต่

ก่อนผมเคยได้รับ หนังสือ Man Health เป็นประจำ ก็เลย เคยได้อ่านบทความ 

เล่มนึง ของ นิตยสาร ฉบับนี้ ที่ได้พูดถึงการออกกำลังกาย การเวท การเตรียมตัว 

เพื่อ ที่จะมาถ่ายทำ หนังเรื่องนี้ ซึ่งในเรื่องการออกกำลังกาย เท่าที่ผมจำได้ ส่วน

ใหญ่ จะเป็นการ เอา ค้อน ตีล้อยาง ในส่วนนี้เราจะคงไม่ได้พูดถึงกันในวันนี้ เอาไว้

พูดในวันหลัง สำหรับการ เล่นเวท  สำหรับ ในจำนวนคำถามนึง ที่มีการถามถึง   

พระเอก Chris Hemsworth ว่ามีวิธีการ ไดเอต ยังไง ถึงทำให้มี

กล้ามเนื้อ ที่ชัด ลีนได้ในเวลา อันรวดเร็วเช่นนี้  ซึ่ง หลายคน อาจจะคิดว่า คือการ

ควบคุมอาหาร เยอะๆ กินน้อยๆ ซึ่งคำตอบที่ได้คือ เค้า กิน 6 มื้อต่อวัน โดย พระเอก

Chris Hemsworth ยังพูดติดตลกว่า สิ่งที่ยากที่สุด คือ 

การพยายาม กินเข้าไปให้ได้ครบ ทั้ง 6 มื้อ เพราะ มัน กินไม่ลงแล้ว  ในจุดนี้ ถามว่า

ทำไมผมถึงเอามาพูด ถึงการควบคุมน้ำหนัก กับการกิน ของ  Chris Hemsworth



ที่ผมมาพูดในจุดนี้ เพราะว่า การกินจำนวนมากมื้อ นั้นเป็นการเพิ่ม อัตราเผาผลาญ   
สิ่งที่ผมอยากจะ บอกวันนี้ เป็น เทคนิค หนึ่ง ที่ใช้ได้ผล สำหรับการควบคุมน้ำหนัก   

นั้นคือการ เพิ่มอัตราเผาผลาญ โดยการ กิน 5 มื้อ  สำหรับในการกิน อาหาร 5 มื้อ 

นั้น เราจะแบ่ง การกิน อาหารออกเป็น 5 ช่วงเวลา โดยให้กินอาหาร เป็น % ของ
 สารอาหารที่ควรได้รับต่อวัน 
-        
               ในตอนเช้า ในทานอาหาร เป็นจำนวน 25% ของพลังงานที่ได้รับในวันนั้น
               
              ในตอนสายๆ ให้ทานอาหาร เป็นจำนวน 10%ของพลังงานที่ได้รับในวันนั้น
              
              ในตอน เที่ยง ให้ทานอาหาร เป็นจำนวน 30 %ของพลังงานที่ได้รับในวันนั้น
     
                            ในตอนบ่ายๆให้ทานอาหาร เป็นจำนวน 10% ของพลังงานที่ได้รับในวันนั้น
    
              ในตอนเย็น ให้ทานอาหาร เป็นจำนวน 25 %ของพลังงานที่ได้รับในวันนั้น




ซึ่ง การทานจำนวนมากมื้อ แต่ในปริมาณ ที่จำกัด ไม่ให้เกิน 30%เนื่องจาก 

ระบบของร่างกาย ที่หากเราทานอาหาร มากกว่า 30%ของที่ร่างกายมีความ

ต้องการในแต่ละวันแล้วส่วนที่ เกินกว่า  30%ร่างกายจะนำไปเก็บสะสมในรูป

อื่นแทน ซึ่ง ก็หมายถึง จะสะสมในรูป ไกลโคเจน และไขมัน ซึ่งส่วนใหญ่มันเป็น

ไขมัน  ดังนั้น หากเรา ซอย มื้ออาหาร ให้เป็น  5 มื้อ แต่ ไม่เกิน มื้อละ  30% ก็

ไม่ต้องกลัวว่า ร่างกายจะเอาพลังงานที่เหลือ ไปเก็บสะสมในรูปของไขมัน ซึ่งก็

เป็นเหตุผลที่ทำให้ เราสามารถ ควบคุมระบบเผาผลาญเราให้ดีขึ้น และ ไม่ต้องไปอดอาหารอะไร

สำหรับการ ในบทนี้ เป็นสาระ เล็กๆน้อยๆ ที่ผมได้เคยอ่านมาจากหนังสือ

 Man Health ก็ขอยกความดีความชอบให้กับ นิตยสารนี้ไปนะครับ ส่วน

การ จัด มื้ออาหาร ออกเป็น 5 มื้อ แบบนี้ ก็เป็นเทคนิค ของ โค้ช เป้ง จาก  

Ez2Fit ที่ผมเคยได้อ่าน มา ก็ขอขอบพระคุณ สำหรับหนังสือ ดีๆ และ โค้ชดีๆ ที่ ให้ความรู้ผ่านหนังสือเหล่านั้นนะครับ 

สำหรับในบทต่อๆไป ผมอาจจะมาพูดในเรื่องต่างๆ อาจจะมีในเรื่อง การออก

กำลังกาย การวิ่ง การเวท หรือแม้แต่ การใช้ยา ซึ่ง ก็อาจจะยังไม่ได้เป็นหมวดหมู่ 

นัก ในใจผม ผมอยากจะเขียน ในเรื่อง การออกกำลังกาย การเวท และการควบ

คุมน้ำหนัก  รวมทั้งเรื่องยา แบ่งออกเป็นหมวดหมู่ แต่ ตอนนี้ ผมก็ยัง แยกแยะ 

หมวดหมู่ไม่ค่อยได้ ก็ จะค่อยๆ พัฒนาไปเรื่อยๆนะครับ จริงๆในเรื่องการวิ่ง การ

เวท มีอะไร ที่น่าสนใจอยู่มาก ที่อยากจะเขียน แต่ติดว่า อยากจะเขียนไปในทาง

การควบคุมน้ำหนัก ไปก่อน เพราะเดี๋ยวมันจะดูกระโดดไปมา ยังไม่อยากไปแตะ 

กิจกรรมในการลดน้ำหนัก กลัวว่า คนอ่านจะงงกัน

ในบทนี้ ผมก็ขอฝากไว้เท่านี้นะครับ สำหรับ บทความ ถ้ามีคนอ่าน แล้วเกิดเป็น

ประโยชน์ก็ขอให้ ความดีนั้น ตกแก่ท่าน ขอจบไว้เพียงเท่านี้นะครับ

ขอบพระคุณครับ


 michele levesque